ความลับไม่มีในโลก … เราได้ยินมานานแล้วเนอะ แล้วจริงๆมันมีไหม ถ้าตอบแบบโลกสวย อิงหลักธรรม ก็ต้องตอบว่าไม่มี เพราะอย่างน้อยก็เจ้าของความลับนั่นแหละคนหนึ่งที่รู้
ความลับไม่มีในโลก
ถ้าอธิบายแบบนั้น ก็อนุมานโดยนัยว่า เป็นความลับของ “คนๆหนึ่ง” ไม่ใช่ความลับของหมาแมว ซึ่งสัตว์ คงไม่มีความลับ (ถ้าไม่นับที่สัตว์บางประเภทรู้จักที่จะ ซ่อนตัว หรือ ซ่อนอาหาร ให้พ้นจากผู้ล่า) และ ก็ต้องไม่ใช่ความลับของธรรมชาติ เพราะธรรมชาติก็มีความลับเช่นกัน โดยนัยนั้นหมายถึงสิ่งที่ ปรากฏการณ์ที่ คนอยากรู้ แต่ยังไม่รู้
นอกจากการอนุมานข้างต้นแล้ว ยังจะต้องอนุมานต่อไปว่า ที่ว่า “ไม่มีในโลก” น่ะ ต้องนับเจ้าของความลับด้วยนะเออ
แต่ถ้าไม่นับเจ้าของความลับล่ะ ยังจะมีความลับในโลกไหม … น่าคิดครับ
แล้วถ้านับความลับของธรรมชาติด้วยล่ะ ความลับยังจะมีในโลกไหม
ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล
เรากำลังพูดถึง 4 ปัจจัย ที่จะบอกว่ามีความลับไหม นั่นคือ ตัวความลับเอง เจ้าของความลับ คนอื่นๆ และ ช่วงเวลาหนึ่งๆ
ผมอาจจะเป็นตาแก่คิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่มีใครมาตีความมานั่งขบคิด ลุงว่างมากนักหรือไง บางคนอาจจะถามอะไรทำนองนี้
หลายๆอย่างในสังคมเรา ท่ามกลางโลกข่าวสารที่พรั่งพรู การที่ใครจะสรุปอะไรออกมาสักอย่าง โดยอนุมานสมมติฐานไว้ใจ แต่บอกไม่หมด บอกแต่ข้อสรุป ทำให้ความเข้าใจของสังคมไขว้เขว และ อาจจะชี้นำ ทั้งแบบตั้งใจ และ ไม่ตั้งใจ
ผมก็แค่ยกตัวอย่างคำพูดที่เราพูดกัน เกร่อๆ ในความหมายที่ “ก็รู้ๆกัน” … เอามาให้ลองแตกแขนงความคิด
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
อยากให้หัดตั้งคำถามเยอะๆกับข้อสรุปต่างๆ เช่น เงื่อนไข สภาพแวดล้อมอะไร แบบไหน ถึงทำให้ได้ข้อสรุปอย่างนั้นขึ้นมา และ ถ้าต้องการให้ได้ข้อสรุปที่แตกต่างจากที่บอกๆเล่าๆกันต่อๆมา จะต้องเปลี่ยนสมมติฐานข้อไหน และ อย่างไร แล้วในความเป็นจริงนั้น สมมติฐานที่ว่านั้นพอจะมีทางจริง (valid) ได้บ้างไหม อะไรทำนองนี้
กลับมาเรื่องของความลับดีกว่า 🙂
ผมเคยได้ยินใครสักคนบอกว่า “ความลับ” ต่างจาก “ของลับ” ตรงที่ ความลับนั้น เมื่อเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วก็จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แต่ ของลับ นี่สิ แม้จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเรียบร้อยและโจ่งครึ้มแล้ว ก็ยังคงถูกเรียกว่า ของลับ อยู่นั่นเอง … จริงเท็จอย่างไร สาธุชนก็พิจารณากันเอา :p
ความลับ มี 3 ประเภท
1. ความลับ ที่ไม่ควรจะรู้
2. ความลับ ที่ควรจะรู้
3. ความลับ ที่ไม่มีวันจะรู้
ความลับที่ไม่ควรจะรู้ อาจจะแปลว่า
เหลือ L สองชุด M 1 ชุด นะคร๊าบ
1.1. ถ้ารู้แล้วอาจจะทุกข์ ก็อย่าไปพยายามรู้มันเลย เดี๋ยวมันจะทุกข์
1.2. ถึงรู้ไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ งั้นจะรู้ไปทำไม ไม่รู้เสียดีกว่า
แบบที่ 2 ความลับที่ควรจะรู้
2.1 รู้แล้วทุกข์ … ถึงควรรู้ แล้วจะรู้ไปทำไม อย่าไปรู้ดีกว่า
2.2 รู้แล้วสุข … งั้นแบบนี้น่ารู้ แต่ว่า เราไม่รู้อยู่ดีว่า ถ้ารู้แล้วจะสุขไหม แต่ถ้าราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้มีความสุขจากการรู้ความลับคือความน่าจะเป็นที่ต้องทุกข์ ก็อย่าไปรู้มันดีกว่า ไม่อยากแลกความ “อาาจะ” สุข ด้วย ความ “อาจจะ” ทุกข์
2.3 รู้แล้วไม่สุขไม่ทุกข์ เฉยๆ … งั้นก็อย่าไปรู้มันเลย 555
หาบ้านให้น้องหน่อยครับ :)
ขาวจั๊วะ กอดได้ อิงได้ วางประดับได้
ปาหัวคนข้างๆก็ได้ (เวลาใช้ให้ไปล้างจานแล้วไม่ยอมไป)
2.4 ถ้าเป็นเรื่องที่ควรจะรู้ มันก็คงไม่ถูกเรียกว่าความลับ (ล่ะมัง) อาจจะแค่ไม่ถึงเวลาที่ต้องรู้ ก็เท่านั้น งั้นก็รอไปก่อน 555
แบบที่ 3 ไม่มีวันจะรู้ ถ้าไปอยากรู้ เพราะมันก็จะทุกข์อีกเพราะตัวความอยากนั่นแหละ งั้นอย่าไปอยากรู้มันเลย
อยู่ห่างๆจากความลับนั้นอยู่ไม่ยาก
แต่ที่ยากกว่าคือ อยู่ห่างๆจาก “ความอยากรู้” ความลับต่างหาก
ความสุขนั้นหาง่ายนิดเดียวเอง …
พยายามอยู่ห่างจาก “ความอยาก” ซะ ก็สุขแล้ว …
สาธุ + อาแมน 🙂
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR | https://raka.is/r/gP7GV |