JOC vs JV

• Facebook
• Twitter
• Line

JOC vs JV – ในวงการเรา เราจะได้ยิน 2 คำนี้ เป็นประจำ

JOC ย่อมาจาก Joint Operating Company ส่วน JV ย่อมาจาก Joint Venture

ทั้งสองคำแปลว่า บ.ร่วมทุนเหมือนกัน คือ มี บ.มากกว่า 1 บ. ลงขันกัน ตั้งเป็น บ.ใหม่ แล้วลงมือทำมาหากิน ได้รายได้ หักค่าใช้จ่าย แล้วแบ่งกันตามสัดส่วนที่ลงขัน … นั่นคือส่วนเหมือน

… แล้วมันต่างกันตรงไหน

JOC vs JV

ต่างกันหลายประเด็นนะครับ แต่ผมขอสรุปประเด็นที่สำคัญๆล่ะกัน

JOC มันก็ตามชื่อครับ บ.ใหม่นี้ ในทางทฤษฎีทำตัวเอกเทศ จาก บ.ที่ลงขัน พนักงานจะใส่หมวก บ.ใหม่ เช่น ก ข ค ร่วมกันตั้ง JOC ชื่อ ง. พนักงานที่ไม่ว่าจะถูกส่งมาจาก ก ข ค หรือ จ้างใหม่ จะเป็น พนังงาน บริษัท ง.

นโยบายการทำงาน โครงสร้างองค์กร กฏกติกาต่างๆ ฯลฯ สร้างขึ้นใหม่ต่างหาก เป็นอิสระโดยสมบูรณ์จาก ก ข ค ในทางทฤษฎี (อีกแล้ว)

บริษัท ง. จะเป็นผู้ดำเนินการ ภาษาวงการเราเรียก Operator

ในทางทฤษฎี(อีกล่ะ) JOC จะมีความเป็นอิสระจาก บ.ที่ลงขันมากกว่า

Petroleum investment concept แนวคิดการลงทุนสำรวจและผลิต

ส่วน JV จะเป็นลักษณะที่ บรัษัท ก. ต้องการจะไปลงทุนทำมาหากิน (ขุดน้ำมันขาย) แล้วคิดว่า อืม ไม่อยากเอาเงินตัวเองลง 100% เพราะเงินไม่พอ หรือ ต้องการกระจายความเสี่ยง หรือ ต้องการความรู้ความสามารถ ประสบการณ์จาก บ.อื่นมาช่วย ฯลฯ

บริษัท ก. ก็จะไปตั้ง บ.ใหม่ขึ้นมา ชื่อ บริษัท ข. แล้ว ไปชวน ค. ง. จ. มาลงขันกัน โดย ก. ลงขันมากที่สุด โดย ก. บอกว่า ชั้นจะเป็นผู้ดำเนินการ (operator) นะจ๊ะ พวกเธอลงเงิน และ ช่วยแนะนำ กำกับดูแล ก็พอ

พนักงานที่อยู่ใน บริษัท ข. จะสวมหมวกของ บริษัท ก. นโยบายการทำงาน โครงสร้างองค์กร กฏกติกาต่างๆ บลาๆ ก็แทบจะลอกมาจาก บริษัท ก. ผมเคยทำงานกับหลาย JV หัวกระดาษ ชื่อ บ. ใหม่ แทบจะเหมือนกันเดี๊ยะ หรือ บางที ถ่ายเอกสาร ก๊อปไฟล์บ.แม่มาใช้ก็มี (ฮา)

ดังนั้น ในทางปฏิบัติงานก็จะ คือ บริษัท ก. นั่นแหละ

ถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน ผมก็ไม่รู้แฮะ ดูๆไป มันก็มีทั้งข้อดีข้อด้อย ของทั้งสองแบบ ขึ้นกว่าว่า ถามใคร และ มองจากมุมของใคร

ถ้าถามผม คนทำงานงกๆที่ไม่รู้อะไรเลย ผมมองว่า JOC มันก็ดูดี มีหลักการ โปร่งใส่ เป็นอิสระจากพันธะทางกฏหมาย และ การเงิน ของ บ.ที่มาร่วมลงขัน แต่อีตอนทำงานนี่คงยุ่งพิลึก เพราะจะทำจะใช้เงินอะไรก็ต้องขอมติจากบ.ที่ลงขันแบบเคร่งครัดไปเสียเกือบทุกเรื่อง

ส่วน JV ดูน่าจะคล่องตัวกว่า บ.ไหนเป็นผู้ดำเนินกันก็จัดไป แต่จะทำจะใช้เงินก็ต้องขอมติ บ.ที่ลงขันอยู่ดี หลุมไหน โครงการย่อยไหนที่ บ.ที่ลงขันไม่เห็นด้วย บ.ที่ลงขันอาจจะบอกว่า ฉันไม่ลงเงินนะ หลุมนี้ โครงการนี้ บริษัทที่เป็นผู้ดำเนินการ ก็ต้องควักเงินส่วนต่างออกแทน บ.ที่ไม่ลงขันเฉพาะหลุมนั้นโครงการย่อยนั้น

อีกอย่าง กรณี JV นี่ ส่วนมาก บ.ที่ลงขัน มักจะสนใจเรื่อง การใช้เงิน กับ ประสิทธิภาพการหารายได้ (ขุดตรงไหน ขุดอย่างไร ผลิตอย่างไร บลาๆ) เท่านั้นแหละ ไม่ค่อยยุ่งเรื่องการจัดการภายใน แต่ JOC นี่ซิ บ.ที่ลงขันมักจะยุ่งทุกเม็ดไปหมด (ไม่ฮา)

ถ้า บ.แม่ของ JV ผู้ดำเนินการ โดนฟ้องร้อง เสียหาย ล้มละลาย เป็นหนี้เป็นสิน บ. JV นี่ก็โดนหางเลขด้วยในสัดส่วนเยอะอยู่

ใครมองเห็นข้อดีข้อด้อยข้อต่างประเด็นไหนก็แบ่งปันกันได้ที่ช่องความเห็นข้างล่างโพสต์นี้นะครับ

ส่วนประเด็นเรื่อง การทำมาค้าขายด้วย แน่นอนว่า JV นั้นก็มักจะลอกมาจากตัวแม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะแนวทางการใช้สินค้าและบริการ สายสัมพันธ์ไปยันราคา ใครค้าขายอยู่กับตัวแม่มาก่อนก็มักได้เปรียบ

ส่วน JOC ก็ขึ้นกับ พนักงาน วิศวกร ที่เข้ามาดูแลแผนกนั้นๆแล้วล่ะว่า รักใครชอบใคร แต่ก็ไม่ได้แปลว่าง่าย เพราะ บ.ที่ลงขันก็มักจะมีคนของตัวเองอยู่ใน JOC ด้วย จะเดินไปไหน จะเซ็นต์อะไร จะพูดอะไร ก็ต้องระมัดระวัง … สนุกมาก ขอบอก 555

ผมคิดไวๆได้ประมาณนี้ อาจจะผิดอาจจะถูก ใครเสริมอะไรได้ ก็แบ่งปันกันได้นะครับ …

อ้อ ผมใช้คำว่า ในทางทฤษฎี หลายครั้ง ก็เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ดูอย่างรัฐสภาเราซิ ไม่เห็นเป็นไปตามทฤษฎีเลย (ฮา) เก้าอี้นายกฯจะว่างไปจนถึงวันเด็กปีหน้าไหมเนี้ย … ว่าจะไม่แวะแล้วเชียว อดไม่ได้ หุหุ …

• Facebook
• Twitter
• Line