Proactive job seeker หางานเมื่อตอนที่ยังไม่ต้องการงาน … ผมแค่ลองคิดกลับกันว่า ทำไมเวลาเราหางาน เรามักจะใจร้อน มักจะถูกเร่งด้วยเงื่อนไขต่างๆนาๆ
ทำให้เราต้องยอมรับเงื่อนไขหลายๆอย่างที่เราไม่เต็มใจ
เป็นเพราะว่าเราอยากจะออกจากที่ที่ทำอยู่ (ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) แรงผลัก (จากที่ปัจจุบัน) มันมากมายเสียเหลือเกิน มากจนเราคิดว่า
ที่ไหนก็เอาล่ะว่ะจังหวะนี้
แล้วผลลัพท์ก็คือ เราก็ได้ไปทำที่ๆเผลอๆก็แย่กว่าเดิม
… เข้าตำราหนีเสือปะจรเข้
ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล
Proactive job seeker
หางานเมื่อตอนที่ยังไม่ต้องการงาน
ผมเลยคิดใหม่ว่า ทำอย่างไรถึงจะหลุดจากวงจรนี้
นั้นทำให้ผมคิดถึงน้องคนนึงสมัยเรียน MBA ภาคค่ำ
เรียนด้วยกันอยู่ 3 ปี นิดๆ เธอหางานตลอด เดี๋ยวก็ไปสัมภาษณ์ที่นั่นที่นี่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้แล้วก็ไม่เอาก็มี เดี๋ยวก็เปลี่ยนนามบัตร เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน เปลี่ยนบ.ไปเรื่อย แต่เธอไม่เคยเลื่อนลงแย่กว่าเดิมเลย
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
ดูเหมือนเธอไม่เคยตกอยู่ในภาวะจำยอมเลย …
เธอมีตัวเลือกอยู่ตลอดเวลา
ทำไมนะเหรอ ก็เพราะว่า เธอหาอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่เธอก็สามารถที่จะทำงานปัจจุบันของเธอได้อย่างดี ไม่ได้เสียงานปัจจุบัน
เวลานัดไปสัมภาษณ์ก็ตามสบายเธอเลย ไม่ว่าง ไม่สะดวก ก็ไม่ต้องลาพักร้อน ออกเร็ว เลื่อนนัดแฟน ไปสัมภาษณ์ เอาตามที่เธอสะดวก เพราะเธอไม่มีแรงกดดัน
สมัยนั้นยังไม่มีศัพท์คำว่า ชิลๆ แต่ก็กำลังจะบอกว่า เธอก็คงอารมณ์นั้นแหละ ชิลๆ
เหลือ L สองชุด M 1 ชุด นะคร๊าบ
พออารมณ์มันชิลๆ เวลาไปทำข้อสอบ ไปคุย ไปสัมภาษณ์ มันก็ไม่กดดัน ผลก็ออกมาดี
จะต่อรองเงินเดือน สวัสดิการ วันหยุด ค่าเดินทาง ผลประโยชน์ ค่าคอมฯ ก็พูดก็ต่อรองก็ขอได้เต็มปาก ไม่ต้องกลัวว่า ขอมากไปแล้วเดี๋ยวจะชวดไม่ได้งาน ถ้าไม่ได้ก็ไม่เอา
สวยเลือกได้ อะไรประมาณนั้น ถ้าฟลุ๊กได้จังๆ ได้อย่างใจทุกอย่าง เธอก็ลาออก ไปที่ใหม่
ถ้าที่ที่เธอทำอยู่ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นธรรม เธอก็ลาออกซะงั้น ไม่ต้องลังเล
สมัยนี้ก็ต้องใช้คำว่า โนสน โนแคร์ เพราะเธอมีสำรองเอาไว้แล้วในกระเป๋า ไม่ต้องมาต่อรอง วัดใจ ซื้อใจอะไรกับที่เดิมให้เสียความรู้สึก
สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ท ยังสบายๆ ทำได้ สมัยนี้ ยิ่งสะดวก แค่ปลายนิ้วเลื่อนไปเลื่อนมา
หาบ้านให้น้องหน่อยครับ :)
ขาวจั๊วะ กอดได้ อิงได้ วางประดับได้
ปาหัวคนข้างๆก็ได้ (เวลาใช้ให้ไปล้างจานแล้วไม่ยอมไป)
เราๆมักจะมีวิธีคิดทำนองที่ว่า “ตอนนี้ยังพอทนได้ก็ทนๆไปก่อน ก็ยังไม่มีที่ที่ดีกว่านี่”
ก็นั่นนะซิครับ เพราะตอนที่ยังดี ยังสบายอยู่ ไม่เริ่มหาๆทางเลือกเอาไว้ พอเริ่มทนไม่ได้จริงๆค่อยรื้อ CV มา update ซึ่งแน่นอนว่า ก็ต้องอยู่กับภาวะที่เรียกว่า ทนไม่ได้จริงๆไปอีกนาน เพราะไม่ได้หางานกันได้ง่ายๆเมื่อไรกัน
ผมลองมาคิดๆดู เออ วิธีคิดแบบนี้มันก็มีเหตุมีผลในตัว
เราก็ไม่ได้เสียงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าได้ไม่ดีกว่าที่ที่ทำอยู่จริงๆ ไม่ได้ปังๆอย่างใจ เราก็ไม่ต้องไป อยู่มันที่เดิม
ทำไมเราต้องรอให้ไฟลนก้น แล้วค่อยร่าง CV เขียน Resume จากวันที่เริ่มปัดฝุ่น CV จนถึงวันที่ได้งานจริง มันไม่ใช่ 2 – 3 อาทิตย์เมื่อไรกัน 3 เดือน 6 เดือน บางทีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
บางทีเราอาจจะมีคำถามว่า เอ๊ะ เราเพิ่งทำงานนี้มา 6 เดือนเอง ยังไม่มีประสบการณ์ในงานปัจจุบันพอเลย รอให้ครบสัก ปี 2 ปี ก่อนค่อยเริ่มหา
อืม … จริงๆมันก็คิดแบบนั้นได้ แต่ถ้าเรามาคิดดูอีกแบบหนึ่ง
ถ้าจะหางานแบบไม่กดดัน ไม่ถูกบีบให้ต้องรับงาน มันใช้เวลา ตั้งแต่เริ่มคิด สมัคร และ เลือก เป็นเดือนๆ ป่านนั้นเราก็มีประสบการณ์กับงานปัจจุบัน เพิ่มอีกครึ่งปีพอดี 555
ถ้าจังหวะดีๆ เขาต้องการคนด้วย แล้วสเป็กเราไปเข้าตาเขาพอดี เขาอยากได้เราขึ้นมา จ่ายได้ ให้ได้ตามที่เราต้องการ
ประสบการณ์ครึ่งปีแล้วไง มีคนยอมจ่ายนี่นา 555
อย่าลืมว่าว่า เวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน ของเรามันเป็น ของซื้อของขาย
มูลค่าของมันนั้น เราเองไม่ได้เป็นคนตัดสิน ลูกค้าของเรา(บ.ที่จะจ้างเรา)ต่างหากที่เป็นคนบอกว่า เวลา 8 ชั่วโมง + ความสามารถ ของเรานั้น มันราคาเท่าไร
อย่าไปคิดแทนลูกค้า
แน่นอนว่า ลูกค้า ก. ให้เท่านี้ ตอนนี้ อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า ลูกค้า ข.ให้เดือนหน้า หรือ แม้แต่ลูกค้าคนเดียวกันยังให้ราคาค่าตัวเราต่างกัน เมื่อเวลาต่างออกไป ขึ้นกับความต้องการและสถานะของลูกค้าแต่ล่ะคนในเวลาหนึ่งๆสถานการณ์หนึ่งๆ
แล้วทำไมเราไม่ใช้ทุกเวลาที่เกิดขึ้นเอาสินค้าไปวางในตลาดล่ะครับ
เรามักจะคิดว่า …
สินค้าเราสเป็คยังไม่ดีพอ ยังไม่โน้น ยังไม่นี่ ซึ่งมันก็จริง ในบางมิติ
แต่หลายอย่างที่เราคิดเราก็มโนไปเอง ให้ลูกค้าตัดสินดีกว่า
ทางเดียวที่ลูกค้าจะได้เห็น ได้ตัดสิน คือเราต้องเสนอสินค้าเราไปเสนอให้เขา
สำหรับผมแล้ว หลักประกันการมีงานทำที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือน คือ การมี “ทางเลือก” ในมือตลอดเวลา
บางท่านที่โลกสวย อาจจะไม่เห็นด้วย ท่านอาจจะบอกว่า “ผลงาน” ต่างหาก คือหลักประกันการมีงานทำ (ได้รับการจ้างงาน)
หุ หุ … ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างให้ช้ำใจกันนะว่า หลายต่อหลายครั้ง และ หลายบริษัทด้วย ที่คนที่ผลงานดีหลายต่อหลายคนไม่ได้รับการจ้างงานต่อ หรือ แม้กระทั่งได้รับข้อเสนอให้ออกทั้งที่ไม่เต็มใจ ขอให้เสียสละ ในยามที่บ.ต้องอยู่รอด
แต่ในทางกลับกัน คนที่มีทางเลือกอยู่เสมอนั้น เขาก็เฉยๆครับ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาจะไปทำอะไรที่ไหน
ก็ฝากๆไว้คิดๆดูก็แล้วกันครับ ข้อสำคัญที่สุดของวิธีคิดและทำแบบนี้คือ เราต้องทุ่มเท และ ทำงานปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดเสมอด้วยนะครับ ทางเลือกก็หาไปในเวลาที่เราว่าง และ ไม่กดดัน งานที่มีก็ทำไป
… win win ครับ ในสายตาผม
บทความเกี่ยวกับ CV resume และ เทคนิคการสัมภาษณ์งาน
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR | https://raka.is/r/gP7GV |