Elite – Evolution and Development – “ชนชั้นนำ” ต่างจาก “ผู้นำ” นะครับ อย่าเอามาปะปนกัน
ผู้นำ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Leader
ส่วนชนชั้นนำนั้น มาจาก 2 คำมารวมกัน ชนชั้น + นำ หมายถึง คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนยอดปิระมิดสังคม ปิระมิดเศรษฐกิจ ปิระมิดการเมืองการปกครอง และ ปิระมิดความเชื่อความศรัทธา ส่วนชนชั้นนำจะเป็นผู้นำไหม หรือ เป็นได้ไหม(ถ้าอยากเป็น) นั่นเป็นคนละเรื่อง
ผมไม่ใช่กูรูทางภาษาอังกฤษ แต่ความรู้สึกของคนใช้ภาษาอังกฤษมาหลายสิบปี บอกผมว่า คำว่าชนชั้นนำนี้ น่าจะเทียบเคียงด้วยความรู้สึกกับคำว่า elite, aristocrat, high society หรือ nobleman ที่ผมใช้คำว่าเทียบเคียงด้วยความรู้สึก เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมันแปลว่าอะไร
Elite – Evolution and Development
การวิวัฒนาการ และ การพัฒนา … ชนชั้นนำ
ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล
กำเนิดพ่อกล้ามโต
เริ่มจะที่เราวานรโฮโมเซเปี้ยน ย้ายจากการเร่ร่อนในทุ่งหญ้ามาอยู่ถ้ำ ผู้ชายออกไปล่าสัตว์ ผู้หญิง เฝ้าถ้ำ เลี้ยงลูก หาของป่ามากิน … แหล่งโปรตีนเดียวที่นานๆได้กินกันที เป็นสัปดาห์ หรือ เป็นเดือน ก็มาจากผู้ล่า ผู้ล่า จึงได้รับความสำคัญ ยกย่อง
Caveman Principle กับ Social Distancing
เจ้าโปรตีนนี่แหละ คือ สิ่งสำคัญมากๆสำหรับ “การอยู่รอดและสืบพันธุ์” ของโฮโมเซเปี้ยน ใครครอบครอบโปรตีน คนนั้นครอบครองถ้ำ
ในหนึ่งถ้ำอาจจะมี 1 ครอบครัว หรือ มากกว่า บางทีออกไปล่าหลายคนแต่มีคนเดียวที่ได้สัตว์มา การได้แหล่งโปรตีนมา จึงต้องมีการแบ่งกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่า รอบหน้า จะเป็นตัวเองที่มือเปล่ากลับถ้ำ
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
ผู้ชายที่ล่าเก่ง ลากชิ้นโปรตีนกลับถ้ำได้บ่อย จึงได้รับการยกย่อง จากสมาชิกในถ้ำ และ ลามไปหลายๆถ้ำ … แน่นอนว่าลักษณะทางกายภาพที่ทำให้ล่าเก่งก็ คือ ความว่องไว ความแข็งแรง ผมจึงเรียกเล่นๆว่า พ่อกล้ามโต
พ่อกล้ามโต จึงเป็นทั้งผู้นำ และ ชนชั้นนำ ในยุคแรกๆ
เนื่องจากคุณสมบัติ “กล้ามโต” นี้ ไม่จำเป็นที่ต้องตกทอดทางสายเลือดเสมอไป ยุคแรกๆจึงเป็นยุคของการปฏิวัติรัฐประหารโดยธรรมชาติ ใครกล้ามโตกว่า หาชิ้นโปรตีนกลับถ้ำ ได้มากกว่า ก็ครองตำแหน่งนี้ไป
ผู้เชื่อมต่อ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เราต่อสู้กันมาตั้งแต่สมัยอยู่ถ้ำ และ เป็นอย่างเดียวที่ พ่อกล้ามโต ไม่สามารถควบคุม และ ต่อสู้ได้
ในความเห็นผม ผู้เชื่อมต่อ เกิดขึ้นมาได้จาก 2 สมมุติฐาน …
เหลือ L สองชุด M 1 ชุด นะคร๊าบ
สมมุติฐานแรก การสังเกตุ และ ความฟลุ๊ค … เนื่องจากพวกหญิงใช้เวลาอยู่ถ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ พอรวมกลุ่มกันหาของป่าได้พอเพียง ก็ว่างล่ะ ไม่มีเฟส ไลน์ และ ติ๊กต๊อกให้ไถจอ จึงมีเวลาสังเกตุธรรมชาติ คาดเดา ประกอบกับธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงมีจิตนาการ และ ประสาทสัมผัสที่ไวเพื่อเอื้อต่อการเลี้ยงดูแลทารก
เวลามาก + การสังเกตุ + จิตนาการ จึงทำให้เกิดการคาดเดา ถูกบ้างผิดบ้าง แต่เมื่อผิด ก็ลืมๆไป เมื่อเดาถูก ก็ตกใจ ขนลุก เชื่อกันไป จึงไม่แปลกที่ผู้เชื่อมต่อในยุคแรกเริ่มจึงเป็นผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่
Social Distance Starvation มนุษย์กินสังคมเป็นอาหารด้วยเหมือนกัน
ส่วนกองไฟ เห็ดเมา และ จังหวะตีเกราะเคาะไม้ นั้น เป็นองค์ประกอบที่พัฒนาควบคู่กันมาเพื่อเสริมจิตนาการการ “เข้าถึง” ให้เร็ว และ ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เรียกว่าเป็นเหตุอุปกรณ์มากกว่าเหตุประธาน อย่าง เวลามาก การสังเกตุ และ จิตนาการ
สมมุติฐานที่สอง ผู้เก็บกวาด … ก็เหตุจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่เป็นคุณกับมนุษย์ถ้ำเหมือนเดิม แต่เหล่ามนุษย์ถ้ำก็ทำอะไรไม่ได้ แหงนหน้าก็เจอแต่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ และ ดวงดาว ก้มหน้าก็เจอดินเจอน้ำ ก็มโนขึ้นมาว่ามีอะไรก็ไม่รู้อยู่บนฟ้า ใต้ดิน หรือใต้น้ำ
เมื่อมนุษย์มโนอะไรขึ้นมาสักอย่าง ก็ไม่พ้นที่จะถอดแบบมาจากตัวเอง ถึงจะไม่เป๊ะในเชิงกายภาพ (แขน ขา หู ตา นิ้ว ฯลฯ) แต่ที่สิ่งที่มนุษย์มโนขึ้นมา ก็มีความเหมือนมนุษย์ ที่มีความต้องการ มีความอยาก
หาบ้านให้น้องหน่อยครับ :)
ขาวจั๊วะ กอดได้ อิงได้ วางประดับได้
ปาหัวคนข้างๆก็ได้ (เวลาใช้ให้ไปล้างจานแล้วไม่ยอมไป)
ดังนั้น เมื่อมนุษย์หาอะไรมาได้ที่มนุษย์ ต้องการ ก็คิดเชิงเทียบเคียงเอาว่า สิ่งที่มโนขึ้นมานั้นก็คงต้องการเหมือนกัน ก็เลยเอามาแบ่งให้โดยหวังว่า สิ่งนั้นจะช่วยไม่ให้ไม่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่เป็นคุณต่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์
ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย (สมัยนั้นยารักษาโรคก็คืออาหารนั่นแหละ) จึงถูกนำมากองๆไว้ให้สิ่งที่มนุษย์ถ้ำมโน
นานวันมันก็รก เหม็นเน่า … ก็จะมีมนุษย์ถ้ำที่ไร้ครอบครัว อาจจะเป็น ผู้หญิง หรือ เด็ก ที่ผู้ชายโดยสิงโตคาบไปกินระหว่างการล่า หรือ ผู้ชาย ที่เกิดมาอ่อนแอ ไปร่วมล่าสัตว์กับเพื่อนไม่ได้ หรือ ไปโดนสิงโตงาบแต่รอดพิการกลับมา ฯลฯ มนุษย์ถ้ำพวกนี้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาสมาชิกในหมู่ถ้ำ
มนุษย์ถ้ำพวกนี้แหละ ก็จะทำตัวเป็น ผู้เก็บกวาด … จุดประสงค์แรกเลย คือ เพื่อยังชีพ กินของเหลือ ใช้เคริ่องนุ่งห่มที่กองๆไว้ แล้วก็คอยทำความสะอาด นานเข้าๆ หลายปี ส่งต่อกันมา เพื่อให้เก็บกวาดสะดวกขึ้น จึงมีการบอกว่า “อะไร” วาง “ตรงไหน” อะไร “ห้าม” เอามาวาง สร้างกฏสร้างแบบแผนต่างๆขึ้นมา เพื่อให้เก็บกวาด “สะดวก”… ก็เลยกลายเป็นพิธีกรรมซะงั้น
หลายร้อยหลายพันปีผ่านไป จากคนเฝ้าถ้ำบูชา ปัดกวาดแท่นบูชา(ก้อนหินโตๆที่ใช้วางซากสัตว์นั่นแหละ) ก็กลายมาเป็น ผู้เชื่อมต่อ
ตอนนี้ พ่อกล้ามโต ก็ไม่ได้เป็นทางเลือกเดียวสำหรับเหล่ามนุษย์ถ้ำอีกต่อไป
พ่อกล้ามโต ต่อสู้ ควบคุม ภัยจากสัตว์ป่า กลุ่มถ้ำข้างเคียง และ หาโปรตีน
ผู้เชื่อมต่อ ต่อสู้ ควบคุม คาดเเดา ภัยจากธรรมชาติ (อย่างน้อยก็ในความเชื่อคนมนุษย์ถ้ำยุคนั้นแหละ)
สภาพแวดล้อมในแต่ล่ะยุคสมัยจะเป็นสิ่งชี้นำว่า เหล่ามนุษย์ถ้ำต้องการผู้นำแบบไหน
การสืบทอดทางสายเลือด Elite – Evolution and Development
จากที่เดาๆมาแล้ว มนุษย์ถ้ำเดินทางมาถึงจุดที่ผลัดเปลี่ยนผู้นำระหว่าง พ่อกล้ามโต กับ ผู้เชื่อมโยง กันตามสภาพแวดล้อม และ ลักษณะเฉพาะตัว ที่ไม่รับประกันว่าจะถ่ายทอดทางสายเลือด
แล้วการสืบทอดทางสายเลือด เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความเห็นผมล้วนๆ การสืบทอดทางสายเลือด เกิดจากการที่มนุษย์มี “ความทรงจำ” เมื่อมีความทรงจำ จึงใช้ความทรงจำ “เทียบเคียงปัจจุบันกับอดีต” ได้ เมื่อเทียบเคียงได้ ก็จะคาดเดาได้ว่า
เมื่อจำได้ ว่า เกิด ก. แล้ว มี ข. มา 2 ครั้งแล้ว พอตอนนี้ เกิด ก. อีก ดังนั้น เดี๋ยว ข. ก็คงมา ตรรกะง่ายๆแบบนี้ ถ้าไม่มีความทรงจำ จะพัฒนาตรรกะแบบนี้ไม่ได้
ซึ่งเป็นคนล่ะกรณีกับ สัตว์บางประเภทสะสมอาหารไว้ในฤดูหนาว นั่นเกิดจากสัญชาติญาณล้วนๆ พิสูจน์ได้ง่ายๆ โดยเอาสัตว์ที่เกิดใหม่ ไม่เคยผ่านฤดูอะไรเลย มันก็สะสมอาหารของมันเอง เพราะ DNA มันบอกว่า เมื่อ อุณหภูมิ ความชื้น กระแสลม ความเข้มของแสง ฯลฯ ประมาณนี้ เจ้าจงทำอย่างนี้ แต่ถ้าทดลองอย่างเดียวกันกับมนุษย์ มนุษย์จะไม่ทำ
ดังนั้นมนุษย์ถ้ำ คาดเดาได้เมื่อไร ตอนไหน จะร้อน หนาว อดอยาก อุดมสมบูรณ์ ฯลฯ … ที่มาของการ “สะสมอาหาร และ สิ่งยังชีพ”
ตรงนี้แหละครับที่เป็นบ่อเกิดของ การสืบทอดทางสายเลือด เพราะผู้นำ (พ่อกล้ามโต และ ผู้เชื่อมต่อ) มักมี อาหารและสิ่งยังชีพมากกว่า มนุษย์ถ้ำคนอื่นๆ ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียก อาหารและสิ่งยังชีพ ว่า ทรัพยากร เพื่อให้ครอบคลุมได้กว้างขึ้น
นั่นทำให้ลูกเมีย และ มนุษย์ในถ้ำ เดียวกัน พลอยมีทรัพยากรมากกว่าถ้ำอื่นไปด้วย มีมากพอที่จะอยู่รอดไปถึงฤดูหนาวหน้า (ปัจจุบันคือมีพอให้อยู่รอดไปจนชาติหน้า)
ตรงนี้แหละ ที่ผมคิดว่าเป็น Elite 101 เป็น จุดเริ่มต้นของ “ชนชั้นนำ” เวอร์ชั่นแรกเริ่ม
เมื่อพ่อกล้ามโตมีบริการที่พึ่งทรัพยากรส่วนเกิน ก็ไม่ต้องออกไล่ล่าสัตว์ ต่อสู้เอง ก็ให้มนุษย์ในถ้ำเดียวกันที่กล้ามโตถัดไป ทำหน้าที่นี้แทน พ่อกล้ามโตก็เลยมีหน้าที่สืบพันธุ์อย่างเดียว แน่นอนว่าก็ต้องมีมนุษย์เพศหญิงจากถ้ำข้างๆอยากมีทรัพยากรยังชีพก็จะเข้ามาขออยู่ถ้ำเดียวกัน บลาๆ
ตอนนี้ในถ้ำเราก็จะมี 3 ชนชั้น … 1) ผู้นำกล้ามโตที่สืบสายเลือด 2) ผู้คุมกำลังออกไปไล่ล่าสัตว์และป้องกันภัยรุกรานจากหมู่ถ้ำข้างๆ และ 3) เพื่อนใกล้ชิดผู้นำกล้ามโตที่ทำหน้าที่ต่างๆในถ้ำ และ ถ้ำบริวาร
ชนชั้นทั้ง 3 นี้ หน่อเนื้อเกิดจากถ้ำเดียวกัน แต่หลายหมื่นปีต่อมาชิงอำนาจกัน ในชื่อของ ราชา ขุนศึก และ ขุนนาง
ส่วนผู้เชื่อมต่อก็ทำหน้าที่ของตัวเองคู่ขนานไป ในฐานะชนชั้นที่อีกชนชั้นหนึ่งที่ก็มีทรัพยากรสะสมเพื่อยังชีพเช่นกัน
แต่ที่ผู้เชื่อมต่อมีแต้มต่อกว่า 3 ชนชั้นในถ้ำของผู้นำกล้ามโต คือ ความสามารถกุมทิศทางความเชื่อ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทำให้หมดไปสูญหายไปได้ยากมาก ไม่เหมือน อาหาร และ เครื่องนุ่งห่ม
นอกจากนั้นสามารถส่งต่อความเชื่อในความสามารถดังกล่าวจาก ตัวพ่อ ตัวแม่ สู่ตัวลูก หรือ สู่ตัวใครก็ได้ … เจ๋งกว่าพวกในถ้ำเยอะ เพราะพวกในถ้ำต้องส่งผ่านทรัพยากรสะสมด้วย สเปิร์ม รังไข่ และ มดลูก เท่านั้น
ตอนนี้เรามีชนชั้นนำ 4 กลุ่มแล้ว เรามี ผู้นำกล้ามโต พ่อกล้ามโต เพื่อนร่วมถ้ำพ่อกล้ามโต และ ผู้เชื่อมต่อ
ผู้อ้วนพี
ในหลายศตรวรรษถัดมา เมื่อมนุษย์ถ้ำรู้จักทำการเกษตร รู้จักแลกเปลี่ยน … ชนชั้นนำทั้ง 4 กลุ่มนี้ ต้องยอมศิโรราบกับ ชนชั้นที่ 5 ที่ผมเรียกว่า ผู้อ้วนพี นั่นคือ ผู้มีทรัพยากรส่วนเกินจากกฏการแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มนุษย์รังสรรค์ใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่กฏของป่า (ที่พ่อกล้ามโตและบริวารได้เปรียบ) ไม่ใช่กฏธรรมชาติ(ที่ผู้เชื่อมต่อได้เปรียบ)
ในปี ค.ศ. 2024 นี้ เราจึงเห็นว่า ผู้ที่ควบคุมที่อยู่ยอดปิระมิดที่แท้จริง คือ ผู้อ้วนพี
เหตุปัจจัย
ทุกวันนี้ เราเห็นชนชั้นนำทั้ง 5 นี้ ในปิระมิดของสังคมมนุษย์ ทุกสังคม ผมเชื่อในกฏธรรมชาติครับ ปิระมิดทั้ง 5 นี้ ไม่มีทางหมดไป เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปิระมิดนี้ยังไม่หมดไป
เหตุปัจจัยนั้น คือ อะไรครับ เพราะคนเราเกิดมาไม่เท่ากันไงครับ ไม่เท่ากันในทุกๆด้าน สูง ต่ำ ดำ ขาว เทา เหลือง ขนาดสอง ขนาดกล้ามเนื้อ กรรมเก่า วาสนา ฯลฯ ความไม่เท่ากันโดยธรรมชาติของชาติกำเนิดนี่แหละครับ ทำให้เกิดปิระมิดทั้ง 5 ขึ้นมาโดยธรรมชาติ
ถ้าเหตุปัจจัยเหล่านี้หมดไป รับรองว่าปิระมิด 5 หลัง ที่ว่านี้หมดไปแน่นอน
ลองทำการทดลองทางความคิดเอาก็ได้ (มโนนั่นแหละ) ถ้าทุกคนบนโลก เหมือนกันหมด ทั้งกายกาพ และ จิตใจ (รัก โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา จริต ราคะ โมหะ โทสะ ฯลฯ) เรียกว่า ก๊อปปี๊กันมาทั้ง 6000 ล้านคน ถ้าเหมือนกันทางทีดี มันก็อยู่ได้ราบรื่น ไม่ต้องมีชนชั้น หรือ ถ้าเหมือนกันในทางไม่ดี ก็ทำลายล้างกันชิบหายกันไปทั้ง 6000 ล้านคน ชั่วข้ามคืน ก็ไม่มีชนชั้นอยู่ดี 555
ดังนั้นระบอบการปกครองใดๆที่อ้างว่าจะทำให้ “เท่าเทียม” เป็นการฝืนธรรมชาติอย่างยิ่ง และ ไม่มีวันเป็นไปได้ … ประวัติศาสตร์ และ ปัจจุบันศาสตร์ พิสูจน์แล้ว
สิ่งที่เรามนุษย์ทำได้ คือ หาระบบทางเศรษฐกิจ สังคมการเมืองการปกครอง และ ความเชื่อความศรัทธา ที่เอื้อให้ให้ปิระมิดทั้ง 5 หลัง เตี้ยที่สุด และ เปิดโอกาสให้ทำร้ายกันโดยใช้ระบบเป็นเครื่องมือให้น้อยที่สุด เท่านั้นเอง
ที่ว่ามาทั้งหมด ไม่ได้ให้เชื่อ แต่เป็นความเห็นบ้าๆ เป็นสมมุติฐานของผมคนเดียว
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR | https://raka.is/r/gP7GV |