Floating Corpse
— บทความใช้ภาษาที่รุนแรงไม่สุภาพ เด็กและเยาวชนควรมีผู้ปกครองแนะนำอย่างใกล้ชิด —
Floating Corpse นางลอย …
“เอ้ย … ไอ้สัตว์นก … ไปหาไรกินที่ศาลาป้าวันกัน”
ตั้งแต่จำความได้ ก็พบว่าผมอยู่ข้างวัดแห่งหนึ่งชานเมืองหลวง …

วัดบางนาในอยู่ริมคลองบางนาที่ยาวประมาณ 2 กม. จากหลังวัดไปจนถึงปากคลองด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา … ถ้ามี ใน ก็ต้องมี นอก วัดบางนานอก คือ วัดคู่กันที่อยู่ปากคลอง
เนื่องจากคนสมัยนั้นเดินทางด้วยแม่น้ำ จึงใช้จุดอ้างอิง คือ แม่น้ำ ถ้าอยู่ตรงแม่น้ำ วัดที่อยู่ไกลออกไป คือ “ใน” วัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำ คือ “นอก”
แก๊งค์ทะโมนผมมี 3 คน มีไอ้เป็ด กับ ไอ้ชาติ แล้วก็ ผมไอ้นก แต่เราเรียกกันเองด้วยความคะนองปากว่า ไอ้เย็ดเป็ด ไอ้ชาติชั่ว และ ไอ้สัตว์นก …
ผมใช้ชีวิตข้างวัดกับไอ้เป็ดกับไอ้ชาติตั้งแต่จำความได้จน ป.5 ก็ราวๆ 10 ขวบ … พวกเราเป็นเด็กข้างวัด ซึ่งเด็กข้างวัดจะต่างกับเด็กวัดเล็กน้อย
เด็กวัดเป็นเด็กชาวบ้านที่ผู้ปกครองรู้จักกับพระเอาลูกหลานมาฝากอยู่วัดเพื่อเรียนต่อในโรงเรียนที่ดีกว่าในระเแวกวัด พูดง่ายๆคืออาศัยวัดเป็นบ้านนั่นแหละ ค่าเช่านอนวัดก็เป็นถวายปัจจัยบ้างเล็กๆน้อยๆ ช่วยค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารก้นบาตร วัดเองก็ได้เด็กวัดช่วยเหลืองานวัดต่างๆ เป็นการอยู่กันแบบเอื้ออาทร พึ่งพากันแบบไทยๆ
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
ส่วยเด็กข้างวัดอย่างพวกเรานั้น ไม่ได้กินนอนในวัด ก็เป็นเด็กๆที่อยู่ระแวกรอบๆวัด วิ่งเล่นเข้าออกประหนึ่งเด็กวัด แต่คนแถววัดจะรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กข้างวัด คนไหนเป็นเด็กข้างวัด
สมัยนั้นเด็กวัดจะ “มีระดับ” กว่าเด็กข้างวัด คือ มีการศึกษา มีพระมีชีดูแลอบรมสั่งสอน ส่วนเด็กข้างวัดก็แล้วแต่ความใส่ใจและพื้นฐานครอบครัว
ป้าวันที่เราชอบไปป้วนเปี้ยนด้วยนั้น จริงๆแล้วแกเป็นแม่ชี คนอื่นเรียกแม่ชีวัน พวกเราเห็นว่ามันยาวไป เลยเรียกแค่ป้าวันก็พอ ส่วนป้าวันแกเรียกพวกเราว่าไอ้พวกลูกลิง เพราะเราปีนทุุกอย่างในวัดที่เราปีนได้ รูปปั้นช้างชูงวงถวายดอกไม้ รูปปั้นลิงถวายรวงผึ้ง แม้กระทั่งพญานาคแผ่พังพานที่จำไม่ได้ว่ากี่หัว เราก็ปีนและลูบหัวเล่นกันมาแล้วทุกหัว ถ้าจะมีที่ที่พวกเรายังหาวิธีปีนไม่ได้ก็หลังคาอุโบสถนี่แหละ
ตั้งแต่พระเถรเณรชีสมีทิดไปยันเจ้าอาวาส ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเรา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจหรือไม่
ป้าวันดูแลทุกอย่างในวัด โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินของพระของเณร ที่เรามักชอบไปแอบกินกัน แกต้องคอยถือไม้เรียวไล่ตีเหมือนไล่หมาไล่แมวที่จะมาขโมยกินของแก เราก็วิ่งเอาเถิดเจ้าล่อวนไปวนมา เดี๋ยวแกก็เป็นลม เหนื่อยหยุดไล่ไปเอง ถ้าเข้าตาจน เราก็วิ่งไปหลบหลังเกาะจีวรหลวงพ่อ เหมือนจะเป็นสำนวนเกาะชายผ้าเหลืองที่ไม่ค่อยตรงความหมายเท่าไร
ชุดนอน รองเท้า Business Class Qatar Airways มี 2 ไซด์ L และ M
ในวัดมีงานก่อสร้างซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา สร้างไม่เสร็จเสียทีเพราะสร้างตามปัจจัยที่วัดมี ปัจจัยหมดก็หยุดสร้าง กองอิฐหินดินทรายเหล็กไม้ถุงปูนหลังวัดจึงเป็นสวนสนุกของพวกเรา พอซนมากๆเข้าหลวงพ่อก็ไล่ให้ไปช่วยน้าป๋องสารพัดช่างของวัด งานปู งานไม้ งานเหล็ก งานท่อ งานไฟ แกได้หมด ส่วนจะได้ดีไม่ดีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
เด็ก 10 ขวบ อย่างเราสามคนช่วยอะไรได้ไม่มาก นอกจากช่วยส่งเครื่องมือต่างๆ นั่นทำให้ผมรู้ว่า ไอ้นั่นเรียกคีมปากนกแก้วใช้ตัดลวด ไอ้โน้นคีมคอม้าใช้จับท่อประปา ไอ้นี่ประแจปากตาย ประแจเหวน ประแจล๊อก ประแจเลื่อน และ อีกสารพัดคีมประแจ รู้จักวิธีใส่ใบเลื่อยเหล็ก รู้ว่างานไหนต้องใช้อะไร จนบางทีเรารู้ล่วงหน้าเราก็ขนไปให้ครบเลย แล้วเราก็จะได้มีเวลาเล่นได้นานขึ้น
มีวัดก็ต้องมีงานศพ มีงานศพก็ต้องมีสัปประเหร่อ ลุงแก่กับพี่แดงลูกชาย รับงานนี้จากรุ่นสู่รุ่น พูดง่ายๆ คือ เป็นตระกูลที่อยู่กับศพกับผีกันทั้งตระกูล พวกลูกลิงอย่างเราก็เป็นลูกมืออยากรู้อยากเห็น หยิบโน้นหยิบนี่ … เราจึงไม่กลัวศพแต่กลัวผี
มีงานศพก็ต้องมีวงปี่พาทย์งานศพ ซึ่งสมัยนี้เราไม่ค่อยเห็นกันแล้ว ความใหญ่เล็กของวงปี่พาทย์จะบอกฐานะของครอบครัวผู้ที่นอนอยู่ในโลง ถ้าจะให้ครบก็ต้องมีร้องไห้หน้าศพติดมาเป็นแพ็คเกจด้วย
เด็กๆอย่างพวกผมไม่เข้าใจ ญาติไม่ร้องไห้ คนไม่ใช่ญาติร้องไห้เอาร้องไห้เอา แถมได้เงินด้วย เคยไปขอร้องไห้ด้วย อยากได้เงินบ้าง แต่ก็โดนไล่ออกมา
สมัยนั้นไม่มีลำโพงใช้แพร่หลายนัก เสียงวงปี่พาทย์งานศพจึงไปได้ไม่ไกลศาลาตั้งศพนัก เป็นการออมชอมปราณีกับญาติโยมรอบวัดอย่างอ่อนโยน ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่ดังไปถึงปากซอยถนนใหญ่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดังเบอร์นั้นไปทำไม
เหนื่อยไหมครับ จุดอับสัญญาณ Wi-Fi ในบ้าน หรือ ที่ทำงาน ตัวขยายสัญญาณ Wi-Fi คือ คำตอบ
Tplink Wi-Fi Range Extender AC1750 RE450 มือสอง สภาพภายนอก 90% ทดสอบแล้ว ใช้งานได้ทุกโหมด
หลังวัดเป็นคลองบางนา สมัยนั้นคลองบางนาไม่ดำปี๋อย่างเดี๋ยวนี้ สะอาดใช้ได้อยู่ พี่อ๊อดเป็นเด็กวัดและลูกศิษย์แม่ผมที่โรงเรียนเทคนิคสมุทรปราการ ในสังกัดกรมอาชีวะฯ หรือ ที่ชาวบ้านร้านถิ่นเรียกติดปากว่าเทคนิคปากน้ำ พี่อ๊อดมีหน้าที่พายเรือให้หลวงพ่อบิณฑบาทตอนเช้า …
ในยามว่างบ่ายวันเสาร์อาทิตย์ เรือลำนั้นก็แปรเป็นเรือของเราลิงทะโมน 3 ตัว เรามักไปรบเร้าพี่อ๊อดให้พายไปเที่ยววัดบางนานอกกัน จริงๆมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คลองแคบๆ เรือพายเก่าๆ เราก็เจี้ยวจ๊าวอยู่กลางเรือ ประหนึ่งเป็นเรือสำราญในฝัน
สองข้างคลอง ป้าโน้น ลุงนี่ พี่นั่น น้าอาโน้น เรารู้จักหมด เพราะเราหน้าด้านขอขนมกินไปสองข้างคลอง ขอจนบางบ้านเห็นเรือเรามาก็เตรียมวางรอไว้ให้ที่หัวกระไดท่าน้ำริมคลอง โดยที่เราไม่ต้องตะโกนทักทาย ทำยังกะเราเป็นเปรตมาของส่วนบุญ แต่เราก็ไม่สนใจหรอก
ขนมนมเนยก็ไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสอะไร ส่วนมากก็ของเหลือกินนั่นแหละ กล้วยแขกครึ่งถุง ฟักทองนึ่ง 2 – 3 ชิ้น ขนมเหนียว ขนมยัดไส้ กล้วยไข่ ส้ม ลูกสองลูก แต่ที่มันอร่อยก็ตรงที่แย่งกันกินกับ ไอ้เป็ด กับ ไอ้ชาติ นี่แหละ แย่งกันไปแย่งกันมา ก็ทำขนมตกน้ำตกท่ากันไปก็บ่อย
… เป็นเวลาความสุขที่ผมจำมาจนแก่ ความสุขในคลองบางนาสุขกว่าความสุขในล่องน้ำราคาแพงไหนๆ ไม่ว่าจะแม่น้ำเทมส์ในลอนดอน แม่น้ำเซนต์ในปารีส ไนแองการ่าพรมแดนอเมริกาแคนนาดา หรือ ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ในสวิตสแลนด์
ขากลับมาจากทัวร์คลองวันหนึ่ง พวกเราขึ้นจากเรือ เดินผ่านตู้กระจกแขวนโครงกระดูกท่าน้ำริมคลองวัดฯ เจอป้าวันกวาดถูทำความสะอาดตู้ และ พื้นที่รอบๆตู้ ที่เต็มไปด้วย ตุ๊กตาแก้บน ขี้ธูป น้ำตาเทียน เศษดอกไม้ที่เคยสด ฯลฯ มือก็จัดชุดแก้บนผี ปากก็ตะโกนกึ่งทักกึ่งด่าพวกเราตามประสาคนแก่ปากร้ายใจดี
หยุดยืนอยู่หน้าตู้ ไอ้ชาติชั่วจู่ๆก็ถามป้าวันขึ้นมา
… “ป้าๆ ทำไมถึงชื่อ นางลอย” พูดพลางชี้ไปที่ป้ายเหนือตู้กระจก
“อ้าว … ก็มันลอยมาที่คลองนี่ไง” แล้วแกก็ชี้ไปที่ท่าเรือที่พี่อ๊อดจอดส่งพวกเราและผูกเรือเอาไว้ที่เสาข้างๆ ดูสีหน้าแกภูมิใจที่ตอบคำถามเด็ก 10 ขวบได้
… “แล้วป้ารู้ไหมว่าเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง” ผมเอาบ้าง
“ไอ้นี่นิ มีตาก็แหกดูดิ มีผ้าถุงพับไว้ในตู้ที่ปลายตีโครงผีน่ะ … เห็นป่ะ” แกพูดพลางชี้ไปที่ปลายตีนโครงกระดูก เออ เนอะ มันก็มีผ้าถุงพับอยู่จริงๆ
แล้วป้าวันแกก็หันไปมองไอ้เย็ดเป็ด เชิงตั้งคำถามโดยสายตาว่า มีอะไรจะถามอีกไหม
… “แล้วป้าวันรู้ได้ไงว่าเป็นนางลอย ไม่ใช่นางสาวลอย” ไอ้เป็ดออกลาย
ป้าวันผู้ทรงภูมิกับเด็ก 10 ขวบ อึ้งไปอึดใจ
“ไอ้เด็กเปรตนี่ ใครมันจะไปรู้ว่ะ พวกเอ็งจะไปขอส่วนบุญที่ไหนก็ไปไป๊” … มือก็ยกไม้กวาดทำท่าจะกวาดพวกเราออกจากตรงนั้น
แน่นอนว่าพวกเราไม่รอให้ไม้กวาดกายสิทธิ์ของแกเผ่นกระบาล โกยเกียร์หมา 3 ตัว 6 ตีน เผ่นโดยพลัน พอพ้นรัศมีไม้กวาดแก ผมก็ถามไอ้เย็ดเป็ดว่า แล้วมึงรู้เหรอ .. มันไม่ตอบ หรือ ไม่ได้ยินที่ผมถามก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรจากนั้นเป็นต้นมา
นอกจากความเล็กใหญ่ของวงปี่พาทย์ที่จะบอกฐานะเจ้าภาพงานศพแล้ว หนังกลางแปลงคืออีกอย่างหนึ่งที่บอกฐานะเจ้าภาพฯ หรือ บางที่ก็แค่หนังขายยาที่มาเช่าลานวัดทำมาหากิน แต่ไม่ว่าจะมาได้ไง หนังกลางแปลงก็เป็นสิ่งที่พวกเรารอคอย
เริ่มจากบ่ายๆวันนั้นจะมีรถสองแถววิ่งไปมาในระแวกวัดโฆษณาว่าจะมีหนังกลางแปลง เริ่มฉายราวๆสามทุ่มได้มัง เริ่มด้วยขายยา กะปิ น้ำปลา สบู่ ผงซักฟอก โน้นนี่ไปตามแต่จะมีอะไรมาขายกัน
เราสามคนมักจะมาแต่หัววัน วิ่งเล่น จองที่นั่งหน้าๆ ซื้อเม็ดมะขามคั่วแบ่งกันกิน 2 เม็ด อยู่ได้ทั้งคืน ทั้งอมทั้งดูดทั้งเคี้ยว ตอนขามาดูหนังน่ะไม่เท่าไรหรอก ขากลับนี่ซิ … อย่างที่บอก พวกเราไม่กลัวศพแต่กลัวผี
ทางเดินที่เดินได้แค่แถวตอนเรียงหนึ่งแคบๆ 100 เมตร แต่เป็น 100 เมตรที่เหมือน 1 กิโลเมตร ที่เด็ก 10 ขวบ สามคนต้องอาศัยเดินกลับบ้าน ฝั่งซ้ายติดรั้วสังกะสี มีหญ้ายาวไล้ไหล่ไปตลอดทาง ตอนกลางวันมันจั๊กจี้หัวไหล่ดี แต่กลางคืนมันชวนขนลุก
ด้านขวาเป็นป่าหญ้าสูงท่วมหัวเด็ก ถัดไปไม่ไกลเป็น ต้นโพธิ์ ต้นไทร แน่นอนว่ามีศาลพระภูมิหัก และ ผ้าสีพันรอบโคน กลางวันนะไม่เท่าไร กลางคืนตอนลมพัดไหวๆนี่สยองมาก ซ้ำร้าย หลังแนวต้นไม้เป็นโรงไม้ที่ตอนกลางคืนชอบมีเสียงแปลกๆ เสียงที่ผมมารู้ตอนโตว่าเป็นหม้อต้มไอน้ำแบบโบราณๆที่ต้มน้ำเตรียมไว้ใช้เป็นพลังงานเลื่อนตัดแปรรูปไม้ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่เสียงมันออกแนวๆว่า … “มาาาานี่ๆๆๆๆๆๆ มาาาานี่ๆๆๆๆๆๆ”
ไม่มีใครเดินด้วยเหรอ เวลาหนังกลางแปลงเลิก คนน่าจะเยอะ …
ใช่ครับ คนเยอะ แต่มีแค่ลิงทะโมน ที่ตอนนั้นเป็นลิงจ๋อย 3 ตัว ที่ต้องฝ่าดงสยองนี่เท่านั้นแหละ
ที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก มีเรื่องเล่าว่า ตรงนั้นเป็นป่าช้าฝังศพเก่า ตอนล้างย้ายป่าช้า มีบางศพไม่ได้เอาไป ถูกลืมไว้ แล้ววันดีคืนซวยก็จะยื่นมือขึ้นมาจกาดินจับข้อเท้าคนที่เดินผ่านไป เผื่อที่จะขอให้พาออกไปจากตรงนั้นด้วยยยยย …. บรื้อส์….
เรามักจะแย่งกันเดินตรงกลางด้วยเหตุผลที่รู้ๆกัน … อุ่นใจดี
เมื่อตกลงกันไม่ได้ ยักแย่ยักยันกัน ผลักกันไปมาอยู่ปากทาง สุดท้ายก็จบลงด้วยการตัดสินกันแบบวิถีลูกผู้ชาย
โอน้อยออก (3 คน เอามือวางพร้อมกัน – หงาย คว่ำ)… ใครวางมือไม่เหมือนเพื่อน คนนั้นรอด ได้อยู่ตรงกลาง อีกสองคน เป่ายิ๊งฉุบ ใครแพ้ซวยสุดได้รับเกียรติเดินนำหน้าท้าผีจับข้อตีน
ก่อนขึ้นเทอมสองของ ป. 5 เล็กน้อย แก๊งค์เรามีสมาชิกใหม่
ไอ้โนด ย้ายมาจากไหนก็ไม่รู้ มาอยู่แถววัดเรา ความเป็นเด็กทำให้เราไม่ได้ใส่ใจที่มาที่ไปเท่าไร เด็กๆคบกันง่าย มารยา อคติ น้อย แบ่งขนมกันกินครั้งสองครั้ง ก็เล่นกันได้แล้ว … นี่แหละครับ ความงดงามของวัยเด็ก
เราประเดิมรับน้องมันด้วยการเรียกมันว่า ไอ้นี เพราะรู้มาว่า แม่มันชื่อปรานี … มันก็ฮึดฮัดโกรธจริงโกรธเล่นอยู่พักใหญ่ หลังๆเหมือนมันทำใจได้ ก็แค่ตอบกลับมาว่า … “พวกมึงอย่าตะโกนดัง เดี๋ยวแม่กูมาด่าเอา”
บ่ายวันอาทิตย์หนึ่ง … บ้านไอ้โนดพากันไปไหนไม่รู้ เรา 3 คน เลยไปเล่นกองทรายโปรดของเรา แล้วหลวงพ่อก็ใช้ให้ไปช่วยน้าป๋องสารพัดช่างประจำวัดที่กำลังก่อกำแพงด้านหลังวัด
“เฮ้ย … ไอ้เป็ดไปยกป้ายหินอ่อนมาดิ ไอ้นกไปเอาเกรียงกับถังปูนมา ไอ้ชาติไปเอาเก้าอี้น้อยมารองตูดกู” … น้าป๋องสั่งไฟแลบ
“ไอ้นก ไอ้ชาติ” … ไอ้เป็ดร้องเสียงหลงมาจากหลังกองป้ายหินอ่อนที่ร้านป้ายเอามาส่งให้ที่หน้าวัด
“เชี่ย เป็นเหี้ยไร ใครตายว่ะ …” ไอ้ชาติ หลุดปากไปเป็นคนแรก สไตล์เสียงถึงก่อนตัว ผมหิ้วถังปูนเปล่าตามหลังไอ้ชาติไปติดๆ
ไอ้เป็ดยื่นป้ายหินอ่อนให้พวกเราดู
… นางปรานี … เขียนอยู่บนป้านหินอ่อนหนึ่งที่กำลังจะเอาไปก่อกำแพงวัด
“นี่มันนามสกุลไอ้นี เอ๊ย ไอ้โนดนี่หว่า” …
ถ้าเป็นเรื่องสั้นสไตล์ละครคุณธรรม นิทานชาดก สอนใจเยาวชน เรื่องราวต่อไปน่าจะประมาณนี้
พวกเราลิงทะโมน 3 ตัว รู้สึกผิด และ เสียใจ รุ่งขึ้นจึงได้พากันไปบ้านไอ้โนดแล้วขอโทษมัน แล้วเราสามคนก็ไม่ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ใครอีกเลย
เนื่องจากเรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องกึ่งชีวิตจริง เรื่องราวต่อไปเป็นว่า …
“พวกเราไปหามันที่บ้านดีกว่า เผื่อมันกลับมาแล้ว … ” ผมเสนอ
“วันหลังก็ได้ ไว้เจอมันค่อยถาม” … ไอ้เป็ดเสนอบ้าง
“ไปช่วยน้าป๋องก่อน เสร็จแล้วค่อยไป” … ไอ้ชาติสรุปให้
กลายเป็นว่าวันนั้นกว่าจะเล่นเสร็จก็เย็นมากแล้ว พวกเราเลยแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
ล่วงเลยไปหนึ่งสัปดาห์ที่ต้องไปโรงเรียนที่เราไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็เลยไม่ได้เจอกัน เราเจอไอ้โนดอีกที เลยได้ถามมันว่า ทำไมไม่บอกว่าแม่มันตายแล้ว
มันบอกว่าอยากให้พวกเรารับมันเข้ากลุ่มด้วยเลยยอมให้ล้อชื่อแม่ …
“เออๆ ไม่เป็นไร ยังไงก็อยู่กับพวกเราแล้ว” … ไอ้ชาติพูดขึ้นมา
“ว่าแต่พ่อมึงตายไปยัง” … ผมถาม
“ยัง”
“งั้นกูเรียกมึง ไอ้กร ล่ะกัน” … ไอ้เป็ดเสนอ
สรุปว่าเราก็ไม่ล่ะสันดานเลวๆ เพียงแค่จากนั้นก่อนเราจะล้อชื่อพ่อชื่อแม่ใคร เราจะแอบสืบมาก่อนว่าตายไปหรือยัง …
เราล้อชื่อพ่อโนดได้ไม่เท่าไร โนดก็ย้ายออกไปจากระแวกวัดบางนาในปลายเทอม 2 ป. 5 เฉกเดียวกับผม ที่ต้องย้ายไปต่างจังหวัดตามคุณพ่อที่เป็นข้าราชการ ทิ้งให้เหลือแค่ 2 ลิง ไอ้เย็ดเป็ด กับ ไอ้ชาติชั่ว เราเขียนจดหมายติดต่อกันอยู่ 3 – 4 ฉบับ แล้วความทรงจำรายละเอียดก็ทะยอยเลือนหลายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงร่อยรอยของความสุขวัยเยาว์ที่ทำให้เรายิ้มได้เมื่อนึกถึงยามโหยหา
ผ่านไปเกือบ 5 ทศวรรษ … เย็นวันที่ฟ้ากรุงเทพอุ้มฝนราวสาวรุ่นอุ้มครรภ์แก่ แล้วถุงน้ำคร่ำฟ้ากรุงเทพก็แตกละลิ่วกระจายโปรยสายน้ำฟ้า
ฝนตกขี้หมูไหล ผมกับไอ้เป็ดโคจรมาเจอกันที่ศาลา 3 วัดชานเมืองริมคลองแถวรามคำแหง เขี่ยมือถือพนมมือส่องท้ายทอยมันจากข้างหลังได้ไม่นานก็แน่ใจว่าใช่ไอ้เป็ดแน่ๆ ไม่ใช่ผมความจำดี แต่เพราะท้ายทอยมันมีปานไซด์เขื่องที่ไม่เหมือนใคร
ไอ้ … นก (ทำท่ากลืนคำไม่สุภาพลงคอ) … มันพูดเสียงดังพอควรทักทาย ผมก็เอามั่ง ไอ้ … เป็ด
หยิบถุงขนมที่เจ้าภาพแจกพลางสรุปย่อเรื่องส่วนตัวความยาวราว 5 ทศวรรษ ในเวลาไม่ถึง 5 นาที
ไอ้เป็ดเป็นทนายความชื่อดังในกระแสโซเชียล ข่าวไหนดังมันต้องไปโผล่หน้ากล้องหน้าไมค์ ผมก็พอเห็นอยู่บ้างแม้ไม่ใส่ใจ เพราะรู้กำพืดว่ามันเป็นคนอย่างไร แต่ก็แอบถามมันเรื่องที่อยู่ในกระแส มันส่ายหน้าบอกว่า ที่พวกเราเห็นๆอ่านๆในโลกโซเชียลกันน่ะ มั่วทั้งนั้น ปั่นเอาเรตติ้งหน้าข่าว … “พวกมึงนั่นแหละเป็นเหยื่อให้เขาขายข่าวเอายอดคลิ๊กยอดวิว” … ไอ้เป็ดสรุปสั้นๆ
“แล้วนี่บ้านมึงอยู่ไหน” … มันถาม
“รัชดาฯแถวๆร้านอ่างฯ” … ผมตอบ
มันเปิดประตูรถยุโรปป้ายแดงด้านข้างคนขับ เอาสูท ไทค์ พาดที่นั่ง ถลกแขนเสื้อขึ้น … “ไม่ผ่านว่ะ งั้นไปกินข้าวต้มข้างคลองนี่กัน กูเลี้ยง”
“เชี่ย … เสี่ยเป็ดทนายดังโซเชียล เลี้ยงข้าวต้มริมคลองข้างวัด”
“ไอ้สัตว์นก มึงแหกตาดู แถวนี้มีไรแดก ตกลงจะแดกไหม”
“แดก”
ริมคลองมีร้านข้าวต้มท้ายกระบะลุงป้าจอดอยู่ หลังฝนตก ถนนเจิ่งน้ำเป็นกระหย่อม คนหรอมแหร่ม มีผมกับไอ้เป็ด และ อีกโต๊ะหนึ่งเท่านั้น
“มึงกลับมาเมื่อไหร่ว่ะ” … ไอ้เป็ดถามพลางคีบกุนเชียงใส่
สีแดงแจ๋ใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ปีนิดๆนิดเอง” … ผมคีบผักบุ้งไฟแดงของโปรด
การสนทนาจิปาถะหาสาระไม่ได้มากมายไหลหลั่ง … แล้วบรรยากาศวัดริมคลองก็ฟื้นคำถามไร้สาระที่คาใจผมมา 5 ทศวรรษ
“ตกลงมึงรู้เหรอว่าเป็นนางลอย หรือ นางสาวลอย” … ผมโพล่งขึ้นมาดื้อๆ
มันหยุดคีบยำไข่แดง เงยหน้ามองผม … “อือ กูว่านางลอย”
“รู้ได้ไงว่ะ” … คำถามไร้สาระ 5 ทศวรรษ
“แม่กูถูกหวยเอาตุ๊กตาไปแก้บนโครงผีนั่น แม่กูชี้ให้ดูที่ผ้านุ่งที่พับอยู่ในมุมตู้กระจก ลายผ้านี่เป็นที่นิยมในอำเภอหนึ่งที่สุพรรณบุรีที่แม่กูเคยอยู่ที่นั่นตอนสาวๆ แม่กูบอกว่าลายผ้านี่ผู้หญิงที่ยังไม่เอาผัวจะไม่ใส่กัน มีแต่ผู้หญิงที่เอาผัวแล้วถึงจะใส่ลายแบบนั้น” … ไอ้เป็ดร่ายยาว
“โอ้ววว … จริงๆแล้วแม่มึงน่าจะเป็นทนายความมากกว่ามึงนะ” … ผมอดแขวะมันไม่ได้
“ไอ้สัตว์นก แดกๆไป กูก็ได้เชื้อแม่กูมาบ้างแหละว่ะ” …
… หลังจากเคี้ยวปลาหมึกแห้งทอด มันก็พูดต่อ “เออ มึงรู้ป่ะ อาชีพทนายความเนี้ย สอนให้กูรู้ว่าคนโง่คนฉลาดเนี่ย ไม่ได้ดูที่ว่ามันตอบว่าอะไร เพราะคนโง่ ถ้าให้มันท่องมาดีๆ มันก็ตอบถูก แต่ดูตอนที่มันถาม”
“เชี่ย มึงหลอกด่ากู” … ผมรู้ทัน
“… นึกว่าต้องรอให้ถึงบ้านก่อนแล้วมึงค่อยนึกได้ไลน์มาด่ากู” ไอ้เป็ดเสียงสะใจ
“อย่างน้อยคำถามกูก็ฉลาดกว่าของไอ้ชาติแหละ” … ไม่ยอมโง่คนเดียว นินทาเพื่อนที่ไม่อยู่ด้วยนี่แหละดีสุด มันไม่เถียง
“เออเนอะ … มันถามได้ไงว่า ทำไมชื่อนางลอย ตู้กระดูกผีอยู่ติดคลองแบบนั้น นางคงพายเรือมาซบตลิ่งแล้วแห้งตายเป็นโครงผีมัง” … ไอ้เป็ดซ้ำ
“เออ … ว่าแต่ไอ้ชาติมันทำไรอยู่ว่ะ” … ผมเพิ่งคิดได้ว่ายังไม่รู้ข่าวคราวมันเลย
“มันเป็น สส. ดังจะตายตอนนี้ มึงเพิ่งกลับมาคงไม่ได้ข่าวมัน” … ไอ้เป็ดหลังยกถ้วยซดข้าวต้มโฮกใหญ่
“ไม่นะ อยู่โน้นกูมีเน็ต กูก็อ่านข่าวบ้านเราอยู่บ้าง” … ผมทำหน้างงๆแต่ก็ยังคีบผักบุ้งใส่ปาก
“เออ ใช่ มันเปลี่ยนชื่อ คืองี้ หลังจากจบป.6 พ่อมันไปได้ม่ายสาวบ้านใหญ่จังหวัดบ้านเกิดมาเป็นแม่เลี้ยงมัน พ่อมันเลยย้ายมันไปอยู่ต่างจังหวัดด้วย แล้วก็ตามสูตร มึงน่าจะเดาได้ ธุรกิจการเมืองเน่าๆ พ่อมันได้เป็น อบต. อบจ. กูเจอมันที่รามฯ 2 – 3 ครั้ง แต่ว่ามันเรียนไม่จบนะ แล้วมันก็เปลี่ยนชื่อซื้อปริญญาลงสมัครสส. นี่เห็นว่าปรับครม.เร็วๆนี้ มันจะได้เป็นรัฐมนตรีช่วย …” เพื่อนไม่อยู่ นินทาเพื่อนยาวเลยนะไอ้เย็ดเป็ด
“อือ … มึงกำลังบอกว่าประเทศเรากำลังจะมีรัฐมนตรีชื่อไอ้ชาติชั่วเหรอ” ผมย้ำความเข้าใจ
นิ่งกันไปอึดใจขนาดพอเคี้ยวปลาหมึกแห้งทอดได้ 2 คำ
แล้วผมกับไอ้เป็ดก็โพล่งขำสำลักข้าวต้มเสียงดังจนลุงขายข้าวต้ม และ โต๊ะข้างๆหันมามอง …
“ฉิบหายแล้ว ประเทศไทย …”
Candle Night – Hope, Joy, Tear & Beginning Of The End
floating corpse
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
![]() |
![]() |