3 คำทำนาย อนาคตอุตสาหกรรมเรา (3 Myths of Oil & Gas Future) ที่จะชวนคุยในวันนี้ผมเอามาจากบทความของ JPT (Journal of Petroleum Technology) ที่เผยแพร่มื่อวันที่ 1 มีนาฯ ที่ผ่านมานี้เอง (1 มีนาคม 2019)
บทความนี้พูดถึงตำนาน (Myth) หรือ เรื่องที่พูดๆกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมของเรา 3 เรื่อง ว่ามีความเป็นจริง ถูกต้อง และ แนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ช้า เร็ว แค่ไหน
ตำนาน หรือ ความเชื่อ 3 อย่างนั่น คือ
- อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะต้องเผชิญหน้ากับข้อจำกัดที่รุนแรงเพราะหลายๆประเทศตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจะทำให้น้ำมันหมดสมัยสาบสูญไป
- โลกกำลังเคลื่อนตัวสู่การใช้พลังงานที่นำมาใช้ใหม่ได้อย่าง 100% อย่างรวดเร็ว
ผมจะไม่แปลคำต่อคำนะครับ ใครอยากอ่านบทความต้นฉบับก็สามารถอ่านได้ที่ท้ายบทความของผม (มีลิงค์ไปที่ที่มาด้วยครับ) แต่ผมจะเอาแต่จุดสำคัญๆของบทความมาย่อย ขยาย และ ชวนคุย
3 คำทำนาย – ปฐมบท
บทความเริ่มต้นด้วยคำกล่าว(ลอยๆ … พี่นก) ที่เรามักจะได้ยินกันว่า โลกกำลังเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานอย่างรวดเร็วฉับพลัน จากการใช้พลังงานสกปรกอย่างพลังงานจากซากฟอสซิล ไปสู่การใช้พลังงานสีเขียว และ สะอาด อย่าง แสงแดด ลม และ แบตเตอรี่
บทความกล่าวต่อไปอีกว่า ไม่ว่าคำกล่าวนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม มันก็ได้สร้างความเสียหายแล้วกับบริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมนี้ (รวมทั้งบริษัทต่างๆในห่วงโซ่อุปสงค์อุปทาน … พี่นก) เพราะบริษัทตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ (broker) ต่างๆจะประเมินมูลค่าของบริษัทฯในอุตสาหกรรมเราใหม่ให้มีมูลค่าน้อยลง (ก็ทำนอง คนหันไปกินไก่ แผงขายไก่ก็มีราคาขายต่อดี แผงขายหมูก็ราคาตก อะไรทำนองนั้น … พี่นก)
นอกจากนั้น บทความได้พูดสั้นๆเกี่ยวกับความน่าสนใจของคนหนุ่มสาวยุคใหม่ที่จะเข้ามาทำงานกับบ.ในอุตสาหกรรมเราอีกด้วยว่า คนเก่งๆดีๆฉลาดๆก็คงจะไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น เพราะอุตสาหกรรมเรานับถอยหลังแล้ว(รอวันตายว่างั้น … พี่นก) และ เมื่อคนรุ่นเบบี้บูมเกษียณกันหมดจะหาคนเก่งๆฉลาดๆที่ไหนมาทำต่อ (รวมถึงคนเจนเนอเรชั่นเอ๊กซ์ตอนต้นอย่างผมด้วย ที่อีกไม่กี่ปีก็ได้เกษียณตามเบบี้บูมไป 555 … พี่นก)
บทความเสนอแนวทางตอบโต้คำกล่าว (3 คำทำนาย) ด้านลบเหล่านั้นด้วยประโยชน์ต่างๆที่พลังงานฟอสซิลโดดเด่น แต่การตอบโต้ไปแบบนั้นมันก็มีจุดอ่อนใหญ่ๆอยู่ 2 จุด (ผู้เขียนบทความออกตัวเอง)
จุดแรกเลย พลังงานทางเลือกอื่นก็ให้ประโยชน์ได้เช่นกัน และ ยังมาแทนที่พลังงานฟอสซิลได้ไม่ยาก และ
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
จุดที่สอง พลังงานฟอสซิลมีราคาที่ต้องจ่ายเป็นสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และ สภาพภูมิอากาศ และ ราคาที่ว่านี่ก็มากพอที่จะทำให้พิจารณาพลังงานทางเลือกอื่น แม้ว่าจะต้องจ่ายแพงขึ้นก็ตาม
อย่างไรก็ตามบทความเสนอแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปว่า การที่จะอธิบายความสำคัญ และ การมี(ใช้)อยู่ของพลังงานฟอสซิล จะต้องเน้นที่ข้อดีของพลังงานฟอสซิลที่พลังงานทางเลือกอื่นเทียบไม่ได้ เช่น ความเสถียร ปริมาณที่ยังคงมีมากมาย และ ประโยชน์อื่นๆที่มากกว่าความเสี่ยงที่สามารถบริหารจัดการได้ (พูดง่ายๆคือยกข้อดีมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่สามารถบริการจัดการไหว … พี่นก)
มุมมองที่แตกต่าง
อีกมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียนบทความนำเสนอก็คือการเปลี่ยนคำว่า “เปลี่ยนผ่าน – transition” (เปลี่ยนการใช้พลังงานจากฟอสซิล … พี่นก) ไปเป็นคำว่า “เพิ่มขยายรูปแบบการใช้งาน – expansion” เช่น
- เราจะจำกัดการใช้พลังงานฟอสซิลอย่างมโหฬารโดยการใช้เครื่องมือต่างๆนาๆ เช่น ภาษี ได้หรือไม่ ความน่าจะเป็นสำหรับคำตอบคือค่อนข้างต่ำ (อย่างน้อยก็ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ … พี่นก) เพราะเมื่อพิจารณาถึง ปริมาณที่ยังเหลือให้ผลิตอย่างแข่งขันได้ ราคา ความสะดวก โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ และ อื่นๆแล้ว ถ้าจะใช้ภาษีเพื่อจำกัดการใช้งานพลังงานฟอสซิลแล้วล่ะก็ ภาษีนั้นต้องแพงมหาศาลแน่ๆ (แล้วใครจะยอมจ่าย … พี่นก)
- ยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะทำให้การใช้น้ำมัน (และ ก๊าซ … พี่นก) หมดไป หรือ ไม่ คำตอบก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะข้อได้เปรียบของน้ำมัน คือ เป็นพลังงานที่เคลื่อนย้ายได้สะดวก และ จำนวนยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าในปัจจุบัน (และอนาคตในระยะใกล้และปานกลาง … พี่นก) ก็ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงิน และ การสั่งให้ใช้ (คนไม่ได้ใช้เองเพราะเหตุผลทางเศรษศาสตร์ แต่ใช้เพราะรัฐฯออกเงินช่วยไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเป็นนโนบายที่รัฐสั่งบังคับให้ใช้ การที่รัฐฯสั่งให้ใช้ รัฐฯก็ต้องออกเงินส่วนต่างให้อยู่ดี ซึ่งการสำนับสนุนและการบังคับนั้น ไม่ทำให้การใช้ยั่งยื่น เมื่อเอาแรงเงินสนับสนุนออก หรือ เอาแรงบังคับใช้ออก คนส่วนใหญ่ก็จะหันมาดูกระเป๋าตัวเองและใช้พลังงานที่ถูกที่สุดอยู่ดี อารมณ์เหมือน พอไม่มีโปรโมชั่น ยอดขายก็ตกลงเหมือนเดิม … พี่นก) ยังไม่นับพลังงานที่ต้องใช้กับ เครื่องบิน เรือเดินสมุทร รถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือ เครื่องกลหนัก ที่ไม่สามารถทดแทนได้โดยง่าย (อย่างน้อยก็ในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า … พี่นก) ด้วยพลังงานอื่น
- โลกจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ 100% เลย หรือ ไม่ แน่นอนว่า ไม่แน่ๆ เพราะว่า พลังงาน ลม และ แสงแดด ยังเป็นพลังงานที่ไม่เสถียรมากพอที่จะใช้ป้อนโรงไฟฟ้า โดยไม่มีพลังงานที่เสถียรกว่าอย่างพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานสำรอง (ผมคงไม่กล้าขึ้นเตียงผ่าตัดใช้พลังงานที่จ่ายให้เครื่องมือผ่าตัดมาจากแบตเตอรี่ และ ลม และ แสงแดด โดยที่ไม่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลสำรอง … พี่นก)
ผู้เขียนบทความส่งท้ายไว้น่าคิดว่า ถ้าเราต้องการที่จะในความเห็นแย้งกับคำกล่าวด้านลบที่มีกับอุตสาหกรรมเราแล้วล่ะก็ เราก็ควรให้การศึกษากับคนในอุตสาหกรรมฯของเรา รวมถึงผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งหมดของอุตสาหกรรม ให้ทราบถึงของได้เปรียบของพลังงานฟอสซิลที่ไม่สามารถจะเอาชนะได้ง่ายๆ (อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้ … พี่นก)
ผู้เขียนจบบทความไว้ประมาณนี้ครับ ต่อไปนี้ก็ความเห็นผมล้วนๆ
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับผู้เขียนทั้งหมดนะครับ แต่ผมอยากนำเสนอมุมมองที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง (โลกไม่สวย)
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า พลังงานฟอสซิลยังเหลืออยู่อีกมาก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ เพียงแต่ณ.ตอนนี้ ต้นทุนที่จะเอาขึ้นมามันยังสูง เพราะว่าเทคโนโลยี กลไก และ อุปสงค์อุปทาน (ที่อิงกับการเมือง) จึงทำให้ดูเหมือนว่าพลังงานฟอสซิลจะหมดไปจากโลกพรุ่งนี้
ผมไม่ได้บอกว่าพลังงานฟอสซิลสะอาด และ จะไม่หมดไปจากโลก
ผมแค่บอกว่า …
- มันไม่หมดไปพรุ่งนี้มะรืนนี้ หรือ แม้แต่อีก 50 ปีนี้แน่นอน (คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับน้ำมัน และ เมืองไทย) และ
- มันสกปรก แต่เราสามารถบริการจัดการมันได้ให้กระทบกับเราน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสันดาปสะอาด หรือ ลดการใช้งาน
แปลไทยเป็นไทยคือ อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูมครับ ระแวดระวังได้ แต่อย่าเกินเหตุ ใช้พลังงานอย่างประหยัด ใช้เท่าที่จำเป็น ใช้พลังงานทดแทนเมื่อสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ นักพยาการณ์อนาคต หรือ ที่เรียกกันว่า futurist ที่เขียนหนังสือขายนั้น ไปดูประวัติหนังสือเก่าๆของพวกนั้น ทายถูกกันกี่เรื่อง เกาะกระแสกันเสียเป็นส่วนมาก
พวกเราเองที่คนในวงการฯก็ต้องเข้าใจอุตสาหกรรมเราอย่างเป็นจริง เป็นธรรม และ มีสติ ไม่ใช่ไปช่วยกระพือข่าวกันเหมือนกับน้ำมันจะหมดไปจากโลกปีหน้า และ รถทุกคันในประเทศจะเป็นรถไฟฟ้ากันหมดในอีก 5 ปี อะไรทำนองนั้น
อย่างน้อยโรงไฟฟ้าก็ยังต้องใช้ก๊าซไปอีกเป็นร้อยปี หรือ ตราบใดที่เราใช้ พลาสติก และ ยางสังเคราะห์ เราก็ต้องใช้ปิโตรเลียมมาผลิตพวกมัน
จะว่าไป ปั๊มน้ำที่เอาไปใช้หล่อเย็นเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากแหล่งที่เสถียร จะเอามาจากไหนถ้าไม่ใช่ไฟฟ้า เพราะถ้าใช้พลังงานลม หรือ แสงแดดที่ไม่เสถียรมาปั๊มน้ำหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ วันดีคืนดีก็จะเป็นแบบ ฟูกูชิมา หรือ โชโนบิล ที่เตาปฏิกรณ์ไม่ได้พังเพราะแผ่นดินไหว หรือ พังด้วยตัวมันเอง มันระเบิดเพราะปั๊มน้ำหล่อเย็นเจ๊งเนื่องจากขาดไฟฟ้า
แหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ได้ตอนนี้ก็มีแต่แบตเตอรี่ที่ประสิทธิภาพก็ยังเป็นคำถามอยู่ ยังไม่นับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการกำจัดแบตเตอรี่ที่หมดอายุ
ในอนาคตก็จะเข้าทำนอง CO2 ในกรณีพลังงานฟอสซิล ที่สมัยนู้น เราไม่ได้สนใจกัน เพราะยังไม่เยอะ ธรรมชาติยังรองรับได้ ตอนนี้ธรรมชาติรองรับไม่ไหวเพราะเยอะเกิ้น(ก็ใช้กันเยอะเองนี่นา)ก็งองแง ตื่นตัว แบตเตอรี่หมดอายุเช่นกัน วันนี้ยังไม่เยอะ ยังไม่เป็นปัญหา
ลองนึกภาพว่ารถทุกคันทั้งโลกเป็นรถไฟฟ้า จะมีแบตเตอรี่หมดอายุวันล่ะกี่ล้านตัน จะกำจัดอย่างไรให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุด โลหะหนักทั้งนั้น (อย่างน้อย CO2 ก็มีมหาสมุทรรองรับ โดยการเปลี่ยนรูปไปเป็นหินปูนอยู่ก้นทะเล หรือ อัดกลับเข้าชั้นหินลึกๆ โอเค แพงหน่อย แต่ก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมล่ะ)
นี่ยังไม่พูดถึงแหล่งพลังงานที่ต้องเอามาใช้กำจัดแบตเตอรี่หมดอายุพวกนี้อีกนะ
ในความคิดโง่ๆของผมนะ มีอยู่ทางเดียวที่จะเกิด Disruption (ขอใช้คำนี้บ้าง เดี๋ยวไม่เท่ห์ ไม่คูล 555) กับพลังงานฟอสซิลได้คือ มีเทคโนโลยีโคลฟิวชั่น (cold fusion) หรือ แหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ความจุสูงมากๆ ประสิทธิภาพสูงมากๆ และ เบามากๆเท่านั้นครับ
ต้องมีสองอย่างนี้ประกอบกัน เพราะพลังงานโคลฟิวชั่นจะใช้แทนพลังงานฟอสซิลในการปั่นไฟฟ้า และ เก็บไว้ในแบตเตอรี่คุณภาพสูงที่ว่า เพราะถ้ามีแต่แบตเตอรี่คุณภาพสูงอย่างเดียว จะเอาไฟฟ้าที่ไหนมาชาร์จแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้า ถ้าไม่ใช้มาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานฟอสซิล
ไม่งั้นเราก็ต้องใช้พลังงานจากผลึกไดลิเธียมเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ StarTrek แต่ตามท้องเรื่อง ก็ต้องมีเหมืองไดลิเธียมให้สมาพันธ์ระหว่างดาวต่างๆแย่งชิงครอบครอง ไม่ต่างกับการแย่งการครอบครองแหล่งพลังงานฟอสซิลอย่างบ่อน้ำมันของมหาอำนาจในโลกปัจจุบันอยู่ดี
ความจำกัดของทรัพยากรพลังงานที่กำลังถกกันนี่ทำให้ผมนึกถึงหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ (memory) ในสมัยก่อน (30+ ปีก่อน) ที่เราไม่ได้มีเยอะเหลือเฟือเหมือนในสมัยนี้ คนใช้คอมฯรุ่นผมถูกสอนเทคนิคเรื่อง
- การจัดเก็บไฟล์ต่างๆให้เป็นระเบียบ
- เขียนโปรแกรม หรือ ทำไฟล์ เอกสาร ข้อมูล ให้มีขนาดเล็กที่สุด
- พัฒนาโปรแกรมบีบอัดมากมายมาใช้
- จัดทำดัชนีในการเก็บข้อมูลต่างๆ
- โล๊ะข้อมูลที่ไม่ใช้ทิ้งไป หรือ เอาข้อมูลที่นานๆใช้ทีไปเก็บในหน่วยความจำถาวร (ที่มักจะราคาถูกกว่าและความจุเยอะกว่า)
ทั้งหมดนี่ก็เพราะเราไม่ได้มีหน่วยความจำเหลือเฟือที่เรานึกจะเก็บจะทำอะไรก็โยนๆถมๆมันลงไป (สมัยนี้ก็คงเก็บไปไว้บนเมฆ – cloud) เราจึงต้องทำงานอย่างฉลาด และ ใช้สมองเยอะหน่อย (work smart)
พอเราพัฒนาหน่วยความจำให้จุเยอะมากมาย เราก็ได้ความสะดวกสะบายมา แต่เราก็เสียความสามารถในการ work smart ในด้านนี้ไป เพื่อที่จะเอาเวลาและกำลังสมองไป work smart ในเรื่องอื่น ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ผมที่ตามมาคืออะไร ตามไปดูกันครับ
มันก็ไม่ต่างกับตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า และ อื่นๆ ในบ้านของเรา
เราจะแก้ปัญหากันด้วยการซื้อตู้ใบใหม่ ต่อเติมบ้านให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มความจุหน่อยความจำที่ไม่มีวันเต็ม ไปเรื่อยๆ เหรอครับ …
เราจะแก้ปัญหากันด้วยการหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ราคาถูกๆ พลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด ไปเรื่อยๆ เหรอครับ …
เรามักจะมีประโยคเท่ห์ๆที่มักจะพูดกันประจำในการแก้ปัญหาทางวิศวกรรม (หรือทางธุรกิจก็ตาม) คือ จะแก้ปัญหาให้สะเด็ดน้ำ แก้ให้เด็ดขาด ต้องแก้ที่ “ต้นเหตุ”
ฝากให้คิดก็แล้วกันครับว่า “ต้นเหตุ” เรื่องการใช้พลังงานที่ไม่เคยพอของพวกเราคืออะไร
ในที่สุดแล้ว “ความอยาก” ที่ไม่มีขอบเขตของพวกเราเองนี่แหละมังที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวงบนดาวเคราะห์ดวงนี้ …
อาแมน …(สาธุ) … 🙂
Top 5 questions 5 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับน้ำมัน และ เมืองไทย
ส่วนข้างล่างนี้เป็นต้นฉบับบทความที่ผมเอามาย่อสรุปครับ …
3 คำทำนาย อนาคตอุตสาหกรรมเรา
Three Myths About the Oil and Gas Industry’s Future and How To Counter Them
ที่มา https://jpt.spe.org/three-myths-about-oil-and-gas-industrys-future-and-how-counter-them

What are the most important trends in energy? If you follow mainstream press accounts, there are at least three:
- The oil and gas industry will soon face radical restrictions as countries respond to climate change.
- The rapidly growing electrical vehicle market will make oil obsolete.
- The world is quickly moving toward 100% renewable energy.
All of these supposed trends are part of an overarching narrative that says we are in the midst of an energy transition: the world is moving quickly and inevitably away from “dirty” fossil fuels to “green” solar, wind, and batteries.
Regardless of whether the “transition to renewables” narrative is true, the wholesale belief in that narrative poses a threat to oil and gas companies. A recent survey of top fund managers, including BlackRock and HSBC, found that 90% believe international oil and gas companies will be negatively revalued in a few years because of climate and energy transition risks—and many think this negative revaluation has already started.
What’s more, the belief that the industry’s days are numbered will make it increasingly difficult to find and retain top talent—a crucial priority at a time when the industry is already facing the challenge of coping with the “great crew change” brought on by Baby Boomer retirements.
One major way the industry has responded to this is to talk about the benefits of its work: about how oil and gas power our homes, cars, data centers, and hospitals, and about how the industry creates millions of jobs and billions in tax revenue.
All of that is true. But, by itself, it does not counter two core premises:
That oil and gas are easily replaceable by solar, wind, and electric vehicles, which means these benefits are not unique to oil and gas but apply to all sources of energy.
That oil and gas have catastrophic costs—on our health, our environment, and our climate—which means that even significant economic costs of transitioning to alternatives could be worth it.
When I give training workshops to the oil and gas industry on persuasive communication, one of the key concepts I teach is what I call superiorizing. You can’t just talk about the benefits of your product: you have to explain how your product has a superior cost/benefit combination to the alternatives.
Imagine that you sold smartphones and your pitch was, “Our phone is amazing. It makes calls, it holds your music, you can surf the internet.” Well, so does every other phone on the market. Customers won’t buy your phone unless they believe it is superior to the alternatives. That is why Apple doesn’t just talk about the iPhone’s features, but about how they compare to a Samsung or a Google Pixel.
The key to countering the negative narrative is to explain why fossil fuels are unmatched in their ability to provide the world with abundant energy—and why this benefit overwhelms their manageable risks. That is the case I make in my book The Moral Case for Fossil Fuels. Given the superiority of fossil fuels and the desire of people around the world to flourish, we should expect that the fossil fuel industry won’t transition to non-existence, but expand as it supplies the world with energy abundance.
To counter doomsday predictions about the future of oil and gas, the industry needs to replace the “transition” narrative with the “expansion” narrative by making the superiority of its product part of every energy discussion. For example:
- Will we impose radical restrictions on fossil fuels, such as a carbon tax high enough to stop people from using oil and gas? Unlikely. Given fossil fuels’ enormous superiority, the tax would have to be far higher than those passed already—and which have already led to opposition in places such as France, Australia, and Canada.
- Will electric vehicles make oil obsolete? Unlikely. Given oil’s superiority as a source of portable power, even the 2% market share that electric vehicles currently have depends on massive subsidies and mandates. And the majority of oil is not used for personal vehicles, but for even harder-to-replace uses such as shipping and air travel.
- Is the world going 100% renewable? Unlikely. Wind and solar are currently inferior, intermittent sources of electricity and cannot supply reliable power—not without backup from reliable forms of energy such as fossil fuels or cost-prohibitive storage.
If the industry wants to counter a negative narrative, then it needs to start by educating its workforce and all of its stakeholders about the superiority of its product.
( 3 คำทำนาย )
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
![]() |
![]() |