Pseudo Sonic (Synthetic) log from Neutron Porosity log … ทำกันอย่างไร ทำไปทำไม … ก่อนจะมาตอบคำถามว่า ทำกันอย่างไร และ ทำไปทำไม เรามาตอบคำถามแรกก่อนว่า มันคืออะไร
ตอบแบบตามภาษาอังกฤษก่อนเลย Pseudo แปลว่า “หลอก” ไม่ใช่ผีหลอกนะครับ หมายถึง ไม่ใช่ของจริง หรือ ของทำเทียม แต่เราไม่เรียกเพศทางเลือก ว่า Pseudo นะครับ เพราะเมื่อใช้ในบริบทของสังคมวิทยา หรือ มนุษยวิทยา แล้ว ความหมายไม่ดี ออกไปในทางดูถูก ไม่จริงใจ โกหก อะไรทำนองนั้น ในเราจะใข้กันบ่อยกับสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งของ นามธรรม และ วิทยาศาสตร์
Synthetic คำนี้เราจะคุ้นเคยกันมากกว่า เพราะว่าเห็นและใช้กันบ่อย ไม่เชื่อก็ไปดูข้างแกลลอนน้ำมันเครื่องที่เราใช้เติมรถก็ได้
คำนี้แปลว่า สังเคราะห์ ก็อีกนั่นแหละ เราไม่ใช้กับ สิ่งมีชีวิตเรา เราใช้กับ สิ่งของ นามธรรม และ บริบทของวิทยา่ศาสตร์ เมื่อเราทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง ที่ไม่ได้เป็น หรือ มีอยู่อย่างที่มันเป็น มันมี เช่น โปรตีนสังเคราะห์ วิตามินสังเคราะห์
ดังนั้น Pseudo sonic หรือ Synthetic sonic ก็คือ transit time (slowness) ของการเดินทางของพลังงานเสียงผ่านชั้นหิน (ความเร็วเสียงนั่นแหละ) ที่เราสังเคราะห์ หรือ จำลอง ทำเทียมขึ้นมานั่นแหละครับ
ก่อนไปเข้าเรื่อง สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก sonic log และ Neutron porosity log อยากให้กลับไปอ่านตอนเก่าๆก่อนนะครับ ตามลิงค์ไปเลย ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็จะต่อยอดลำบากนะครับ
Wireline logging ตอน Porosity tools – EP1 เราอยากรู้ porosity ไปทำไม
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
แล้วก็อ่าน Sonic Porosity และ เน้นความเข้าใจเรื่อง Effective porosity (open porosity) กับ Ineffective porosity (closed porosity) จากลิงค์ข้างล่างด้วยนะครับ
Wireline Logging ตอน Porosity Tool EP2 กับ compton scattering และ sonic
Pseudo Sonic
(Synthetic) log from Neutron Porosity log … ทำกันอย่างไร ทำไปทำไม
แนวคิด (concept)
ชั้นหินมีคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ (Rock Physicochemical) ที่แตกต่างกัน คุณสมบัติทางกายภาพเหล่านั้นก็อย่างเช่น ความหนาแน่น ความพรุน การแผ่กัมมันตรังสีตามธรรมชาติ ความต้านทานความเร็วเสียง ความสามารรถในการผลิตความต่างศักดิ์ไฟฟ้าตามธรรมชาติ ความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะ ฯลฯ
โดยทั่วๆไปแล้ว คุณสมบัติทางเคมีกายภาพหนึ่ง มักจะมีความสัมพันธ์กับ อีกหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งคุณสมบัติทางเคมีกายภาพเสมอ มันเป็นไปตามหลักเหตุผลทางธรรมชาติ หินก็เหมือนกับวัตถุทั่วไปน่ะครับ เช่น ถ้าชั้นหินมีความหนาแน่นสูง ก็มักจะส่งส่งผ่านพลังงานเสียง (เสียงวิ่งผ่าน) ได้เร็ว มีความพรุนต่ำ และ นำไฟฟ้าได้ไม่ค่อยดี
นั่นแปลว่า ถ้าเราวัดคุณสมบัติทางเคมีกายภาพหนึ่งได้ และ เรารู้ความสัมพันธ์ของมันกับอีกคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ เราก็สามารถที่จะสังเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีกายภาพนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องลงมือวัดจริงๆ ใช่ไหมครับ
ก่อนอื่นเราต้องหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติทางเคมีกายภาพคู่นั้นให้ได้เสียก่อน บางทีมันก็มีความสัมพันธ์กันทางตรง บางที่ก็สัมพันธ์กันทางอ้อมโดยผ่านคุณสมบัติทางเคมีกายภาพอีกอย่างหนึ่ง เช่น ความพรุน กับ ความหนาแน่น จะมีความสัมพันธ์กันโดยตรง เช่นร มีความพรุนมากก็มีความหนาแน่นน้อย (นึกถึงฟองน้ำ) แต่ความหนาแน่น กับ ความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะ จะสัมพันธ์กันอ้อมๆ เพราะนอกจากความพรุนแล้ว ยังมีความต้านทานไฟฟ้าของของไหลที่อยู่ในความพรุนนั้นๆด้วย
หาความสัมพันธ์ได้อย่างไร
มี 2 วิธีใหญ่ๆครับ engineering กับ empirical
Engineering
ก็คือหาความสัมพันธ์ของคุณสมบัติทางเคมีกายภาพคู่นั้น แล้วแก้สมการเอาดื้อๆ ค่าอะไรที่ไม่ทราบ ก็ติดค่าเป็นค่าคงที่เอาไว้ เอาเอาข้อมูลจริงๆมาแทนเข้า แล้วแก้สมการหาค่าคงที่นั้นๆออกมา
เช่น เรารู้ว่า ถ้าออกแรง F กับวัตถุแล้ว วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง a และ ความสัมพันธ์นี้เป็นเชิงเส้นตรง (ได้จากการทดลองซ้ำไปซ้ำมาแล้วเอามาพล๊อตกราฟไง) เราก็เขียนสมการได้ว่า F = K x a โดย K เป็นค่าคงที่
เราก็ทดสองหลายๆครั้งโดยเปลี่ยน F แล้ว วัด a ไปเรื่อยๆกับวัตถุชิ้นหนึ่ง เอา F กับ a มาพล๊อตกราฟ k ก็คือค่าความชั้นของกราฟ F กับ a นั่นเอง ถ้าเราเอา วัตถุไปชั่งนน. เราก็จะรู้ว่า k ก็คือ มวลของวัตุถุ
ดังนั้น ถ้าเราอยากรู้ว่าตัวเรามีมวลเท่าไร เราก็สามารถวัดแรงที่มากระทำกับเรา และ วัดความเร่งที่เราเคลื่อนที่ จับมาหารกัน ก็ได้มวลของเรา โดยไม่ต้องไปขึ้นตาชั่ง จริงไหมครับ
Empirical
วิธีนี้จะเถรตรงหน่อยๆ คือ ไม่ต้องคิดมาก จับเอาคุณสมบัติทางเคมีกายภาพคู่นั้น (หรือมากกว่า 2) มาพล๊อตกราฟหาความสัมพันธ์กันดื้อๆ โดยให้คุณสมบัติทางเคมีกายภาพหนึ่งเป็นตัวแปรต้น และ อีกหนึ่ง(หรือมากว่า) คุณสมบัติทางเคมีกายภาพ เป็นตัวแปลตาม ใช้หลักวิชาสถิติถอดความสัมพันธ์ออกมา โดยอาจจะเป็นเชิงเส้น (Y = mX+c) หรือ ไม่เชิงก็ได้ เช่น Polynomial, Power, Exponential, etc.
แต่ไม่ว่าจะใช้วิธี engineering หรือ empirical ก็ต้องเอาผลการวัดจริงๆมาตรวจสอบว่า ตัวแบบหรือ สูตรที่ได้ ให้ผลตรงหรือไม่ก่อนนำไปใช้จริงๆ ยกตัวอย่าง F = M x a ก่อนเเอาไปใช้ ก็ต้อง วัด F, M กับ a มาหลายๆรอบ จนแน่ใจว่า F = M x a จริงๆ แล้วค่อยเอาสูตรไปใช้ เพื่อหา M โดยไม่ต้องเอามวลไปชั่ง (ก็วิธีนี้แหละที่เรารู้มวลของโลกโดยไม่ต้องเอาโลกไปขึ้นชั่งบนตาชั่งยักษ์)
ความเร็วเสียงกับความพรุน
ที่อธิบายไปยาวยืดข้างบนนั้น ก็เพราะว่า พอมาเข้าเรื่อง ผมจะได้ไม่ต้องอธิบายกันอีก
ความเร็วเสียงกับความพรุน คู่นี้สัมพันธ์กันตรงๆเลยครับง่ายมาก สูตรรู้กันอยู่แล้ว ฟิสิกส์บ้านๆเลย รู้กันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว
เห็นไหมครับ ถ้าเราวัดค่าความเร็วเสียงได้ (จาก sonic tool) เราก็หาความพรุนได้ หรือเราวัดความพรุนได้ (จาก Neutron tool) เราก็หาความเร็วเสียงได้
แต่เราต้องรู้ความเร็วเสียงที่ผ่านชั้นหิน (matrix) นั้นเพียวๆ(ไม่มีรูพรุน) กับ ความเร็วเสียงที่ผ่านของไหล (fluid) ในชั้นหินนั้น ด้วยนะ … ส่วนเราจะรู้ได้ไง ขอแปะไว้ก่อน จะไปเฉลยตอนท้าย
Neutron porosity vs. Sonic porosity
พวกเราน่าจะอ่าน Effective porosity (open porosity) vs . Ineffective porosity (closed porosity) มาแล้วนะครับ ที่ให้อ่านไว้ก่อนหน้าก่อนเข้าเรื่อง
สรุปอีกที ง่ายๆเร็วๆ ความพรุนที่อ่านได้จาก Neutron tool คือ ความพรุนรวมๆ รวมไปหมดทั้ง Effective porosity (open porosity) และ Ineffective porosity (closed porosity แต่ ความพรุนที่คำนวนได้จากความเร็วเสียงที่ได้จาก Sonic tool จะเป็น Effective porosity (open porosity) ซึ่งแน่นอนว่า น้อยกว่า ความพรุนรวมๆ ที่อ่านได้จาก Neutron porosity
ดังนั้น การจะเอาความพรุ่นที่อ่านได้จาก Neutron tool ไปใส่สูตร เพื่อคำนวนย้อนกลับหาความเร็วเสียงนั้น ต้องมีการปรับแต่งความพรุนนี้ให้เป็น Effective porosity (open porosity) เสียก่อน
ทำได้อย่างไร
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ เราต้องลงทุนเช่า Sonic tool กับ Neutron tool มาใช้คู่กันหลายๆหลุมเสียก่อนว่าในแหล่งของเรา (ที่มีลักษณะทางธรณีฟิสิกส์หนึ่งๆทั่วทั้งแหล่ง) มีความสัมพันธ์ระหว่าง Effective porosity (open porosity) vs . Total porosity (closed + open porosity) เป็นอย่างไร เราก็จะได้ค่าคงที่ (หรือ สมการความสัมพันธ์ – function) ที่ใช้ปรับแต่งหรือแปลงค่า Total porosity ไปเป็น Effective porosity ได้
แล้วเราจึงใช้ ค่าคงที่ (หรือ สมการความสัมพันธ์ – function) มาปรับความพรุนที่อ่านได้จาก Neutron tool ก่อนนำไปใช้
ทำไปทำไม
คำถามที่สำคัญว่าทำอย่างไร คือ ทำไปทำไม ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ประหยัดตังค์ไง ไม่ต้องเช่า Sonic tool ให้เปลืองหอยเปลืองเบี้ย อิอิ
งั้นถามต่อไปอีกว่า แล้วเราอยากได้ค่าความเร็วเสียงในชั้นหินไปทำไม
หลายเหตุผลมากๆครับ ความเร็วเสียงที่ผ่านวัตุถุใดๆนั้น บอกคุณสมบัติทางกายภาพมากมายเกี่ยวกับวัตถุนั้น ไปถามวิศวกรวัสดุศาสตร์ได้ครับ ยกตัวอย่างในงานของเรานักขุด คือ เราอยากรู้ว่าชั้นหินที่จะขุดนี้แข็งแค่ไหน
คุณสมบัติหนึ่งที่จะบอกว่าหิน (วัสดุใดๆ) แข็งแค่ไหน คือ Compressive Strength (ต่อไปขอย่อ CS) มีหน่วยเป็น psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) แปลบ้านๆว่า ต้องใช้แรง (หรือน้ำหนัก) กี่ปอนด์กดลงในพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว ถึงจะทำให้หินแตก (fail) ได้
CS เยอะๆ หินแข็งมากๆ …
CS มี 3 แบบย่อยๆ UCS CCS และ In situ CS
UCS คือ Unconfined CS ที่วัดกันที่วัดกันในห้องทดลอง เอาตัวอย่างวัสดุเอามาวัดกันใน lab (unconfined แปลว่า ไม่ถูกจำกัดพื้นที่)
CCS คือ confined CS ของวัสดุในที่ที่มันอยู่ขณะเราทำงาน ในที่นี้คือหินที่ที่อยู่ก้นหลุมตรงใต้หัวเจาะ ตอนนั้น หินตรงนั้นถูกประกบด้วยชั้นหินรอบด้านซ้ายขวาและด้านล่าง ส่วนด้านบนมีน้ำหนักน้ำโคลนกดอยู่
In situ CS คือ CS ดั้งเดิมของวัสดุก่อนเราเข้าไปยุ่งกับมัน ในที่นี้คือหินก่อนจะโดนเจาะ คือ โดนล้อมกรอบไปด้วยชั้นหินด้วยกันทั้งซ้ายขวาหน้าหลังบนล่าง
แน่นอนว่า UCS จะมีค่าต่ำที่สุด (เพราะพอโดนกดแล้ววัสดุสามารถขยายแผละออกไปข้างๆได้อย่างเสรี พูดง่ายๆทนโดนกดได้ไม่มาก) และ ส่วน CCS กับ In situ CS อันไหนมากกว่าอันไหน ก็ขึ้นกับน้ำหนักน้ำโคลนที่กดลงที่ด้านบนของ CCS คือ โดนกดแล้วขยายออกไปด้านข้างไม่ได้เพราะโดนล้อมกรอบไว้ (confined)
ดังนั้น CCS กับ In situ CS จะมากแค่ไหน มันก็ขึ้นกับแรงที่รอบกรอบมันไว้เยอะแค่ไหน
แล้วค่าไหนที่เราแคร์ เราอยากรู้ แน่นอนว่า เราอยากรู้ CCS จริงไหมครับ แต่การจะไปวัดไปหา CCS นั้น ยุ่งขิงพิลึก งั้นเอา UCS ไปก่อนก็ได้ 555 เพราะว่า ถ้า UCS มาก CCS มันก็มากตามอยู่แล้ว จริงป่ะ เราเป็นวิศวกร ทำงานได้ก็พอ ไม่ต้องการอะไรแป๊ะๆ งานส่วนนั้นให้นักวิทยาศาสตร์ทำไปล่ะกัน แบ่งงานกันทำบ้างดิ หุหุ
ลากมายาว แล้วจะหา UCS จากความเร็วเสียงได้ไง
มีหลายสูตรมากเลย โดยมากสูตรการหา UCS จากความเร็วเสียงนี่ มีกันมาชาตินึงแล้วครับ ส่วนมากก็ใช้วิธี empirical ไปเก็บตัวอย่างชั้นหิน (core) เอามาวัดในห้องทดลอง (กดให้แตกแล้ววัดว่าใช้แรงเท่าไร) และ เช่า sonic tool หย่อนลงหลุมไปวัดความเร็วเสียงตรงจุดที่เก็บตัวอย่างมา เอามาพล๊อตกราฟ
แล้วลากเส้นที่อธิบายความสัมพันธ์ได้ดีที่สุด ก็เส้นนั้นนั่นแหละ (เหมือน F = M x a ที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น)
ยกตัวอย่างจากกราฟข้างล่าง
ที่มา … https://pdfs.semanticscholar.org/3c0d/6288760e201827b59aee3a564098a6167139.pdf
แสดงว่าสูตรพวกนี้ไม่เป็น universal คือ ไม่มีสูตรที่ one size fits all ใช้ได้ทั่วไป วิธีนี้จะออกแนว regional คือ ขึ้นกับพื้นที่ไหน ประเภทหินอะไร สภาพทางธรณีเป็นอย่างไร บลาๆ
ดูตัวอย่างข้างล่างซิครับ สูตรเพียบ
ที่มา … http://www.searchanddiscovery.com/documents/2017/30488salawu/ndx_salawu.pdf
ในอ่าวไทยเราก็มีสูตรครับ แต่ก็นะ ความลับ กว่าจะได้มาก ไม่ใช่ถูกๆนิ ต้องลงทุนเยอะอ่ะ ผมเองก็วิเคราะห์สูตรของอ่าวไทยของผมเองได้สูตรหนึ่ง แม่นพอสมควรล่ะ R square 98% เชียวนะ ขอโม้นินุง
เห็นไหมครับว่า เรานักขุดเจาะสามารถรู้ UCS โดยไม่ต้อง เช่า Sonic tool มาให้เสียตังค์ ปกติแล้ว นักธรณี เขาไม่สนใจความแข็งของหินหรอก เขาสนใจจะหาน้ำมันมากกว่า ก็โดยใช้ transitivity + porosity เพื่อเอาเข้าสมการ Archie มากกว่า
สมการหาน้ำมันตัวพ่อ Archie’s Law มาทำความรู้จักกันครับ
นักธรณีเขาจึงไม่ค่อยเช่า sonic tool มาใช้ ถ้าไม่มีความต้องการพิเศษจากวิศวกรแหล่งกักเก็บ หรือ วิศวกรขุดเจาะ ขอมา
ดังนั้น ไม่ค่อยมีใครอยากควักตังค์ เช่า Sonic tool มาใช้เพื่อหา UCS หรอก
เรานักขุดจึงค่อนข้างอาภัพ (ฮือๆ) จะเจียดงบขุดเจาะไปเช่า sonic tool ก็ไม่น่าคุ้มนิ เราก็ได้แต่ตอดๆแถๆเอาจาก porosity ด้วยวิธีที่เล่ามานี่แหละ
วิธีนี้มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ความเป็น regional นี่แหละ วิเคราะห์จากพื้นที่ไหนก็ใช้ได้ในพื้นที่นั้น และ ต้องลงทุนเยอะ ต้องมีหลุมตั้งต้น ลงทุนตัดตัวอย่างหินเอาขึ้นมา (core sampling) วิเคราะห์ในห้องทดลอง หลายๆหลุม และ ต้องเช่า sonic tool มาลงหลุมนั้นๆด้วย ใช้ทั้งเวลา ความเชี่ยวชาญ และ เงิน
แน่นอนว่าวิธีนี้ใช้กับหลุมสำรวจ หรือ หลุม ประเมินไม่ได้ เพราะ ขุดกันแค่หลุมสองหลุม อย่างเก่งก็ 4 หลุม จะมีข้อมูลพอหาความสัมพันธ์ที่ว่าได้ไง ดังนั้น ส่วนใหญ่หลุมสำรวจ หลุมประเมิน เราจะเช่าอุปกรณ์แทบทุกอย่างมาหยั่งธรณี เพราะจุดประสงค์คือเราต้องการรู้เกี่ยวกับชั้นหินแหล่งนั้นๆให้มากๆที่สุด
นอกจากความพรุนแล้ว เราสามารถที่จะใช้ความหนาแน่น ความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะ หรือ อื่นๆก็ได้ ในการหา UCS ได้เช่นกัน ส่วนจะแม่นไม่แม่นแค่ไหน ก็ว่ากันไปตามสภาพทางธรณีแต่ล่ะที่ไป อย่างที่บอกว่าวิธีนี้มีความเป็น regional สูงอยู่ ใช้ที่นั่นเวิร์คที่นี่ไม่เวิร์ค ก็ว่ากันไป …
จะว่าไป (ขอนอกเรื่อง) คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของธรรมชาติที่คุณสมบัติอย่างหนึ่ง สามารถแปลหรือสื่อไปถึงอีกคุณสมบัติหนึ่ง ในแง่นี้ก็สามารถอธิบายพฤติกรรม บุคคลิก (personality) คนเหมือนกันเนอะ เช่น คนที่มีบุคคลิกหนึ่งก็มักจะมีอีก 1 หรือ 2 บุคคลิก ที่สามารถอธิบายได้ไปทางเดียวกัน และ จะไม่มีอีกบุคคลิกหนึ่ง(หรือมากกว่า) ที่ไม่อาจจะไปได้ด้วยกันกับบุคคลิกดังกล่าว
แต่คนไม่เหมือนวัตถุที่มีข้อยกเว้น เราสามารถเจอคนที่มี 2 (หรือมากกว่า 2) บุคคลิกหรือ พฤติกรรมที่ดูขัดๆกัน ที่ไม่น่าจะมารวมอยู่ในคนๆเดียวได้
อ้าว … กำลังคิดถึงใครอยู่ครับ ก็คนๆนั้นแหละ 555 🙂
—————————————————
recta sapere
เจเรมีป็นเด็กพิเศษ เรียนรู้ช้า อายุ 12 แต่ยังอยู่ชั้น ป.2 ครู และ เพื่อนๆต่างก็รู้สึกอึดอัดกับเจเรมี เทศกาลอีสเตอร์ ครูอธิบายให้เด็กฟังว่าพระเยซูเจ้ากลับเป็นขึ้นมา และ ให้ชีวิตใหม่
ครูให้ไข่พลาสติกลูกใหญ่แก่เด็กๆคนละหนึ่งใบ และ บอกว่าให้หาอะไรก็ได้ที่มีความหมายของชีวิตใหม่ใส่ในไข่ และ นำมาส่ง ครูมิลเลอร์สงสัยในใจว่าเจเรมีจะเข้าใจมั้ย รุ่งขึ้นเด็ก 19 คนนำมาส่ง ครูมิลเลอร์เปิดไข่แต่ละฟองต่อหน้าทุกคน
ฟองแรกมีดอกไม้ เครื่องหมายของชีวิตใหม่ที่สดใส ฟองที่สองมีหนอนผีเสื้อหมายถึงชีวิตใหม่ แน่นอนต่อไปมันจะเป็นผีเสื้อ ครูอธิบายแทนเด็ก ฟองที่สามมีไข่จริงๆหนึ่งฟอง ซึ่งเด็กๆ และ ครูก็สนุกกับการหาความหมายของชีวิต ฟองที่ 4 ครูมิลเลอร์พบว่าข้างในว่างเปล่า
แน่นอนทุกคนรู้ว่าเป็นของเจเรมี ครูไม่อยากให้เขาขายหน้าก็เลยไม่พูดอะไร และ วางไข่พลาสติกนั้นแยกไว้ต่างหาก ตอนนั้นเองเจเรมีก็พูดขึ้นว่าครูครับ ครูจะไม่พูดอะไร
เกี่ยวกับไข่ที่ผมนำมาหรือครับ
ครูมิลเลอร์จึงอธิบายว่า แต่ข้างในนั้นไม่มีอะไรเลยนะ มันว่างเปล่า
เจเรมีมองตาครูแล้วก็พูดว่า แต่หลุมฝังศพพระเยซูก็ว่างเปล่าเหมือนกัน ครูมิลเลิร์เข้าใจทันทีว่าเจเรมีเข้าใจชีวิตใหม่มากกว่าใครในห้อง เธอมีทัศนคติใหม่ต่อเจเรมีทันที เจเรมีค้นพบด้วยความซื่อว่า สัญลักษณ์ที่แท้จริงของชีวิตใหม่ก็ คือ (หลุมศพ) ที่ “ว่างเปล่า” นั่นเอง
มนุษย์เราชอบเติม ชอบหาชอบใส่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตโดยคิดว่ามันเป็นชีวิต แต่การมีชีวิตใหม่คือการค้นพบว่าความว่างเปล่าในชีวิตก็ให้ชีวิตที่ดีกว่าได้
เรื่องสั้นจาก Facebook คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
![]() |
![]() |