CCS CCUS EP7 residual trapping – capillary trapping – CCS, CCUS ตอนที่ 7 เจาะลึกกลไกการกักเก็บแบบคงค้าง (residual trapping / capillary trapping)
สวัสดีครับทุกท่าน ความเดิมจากตอนที่แล้วผมได้แนะนำเกี่ยวกับกับกลไกหลัก 4 กลไกในการกักเก็บเฉพาะในตัวกลางที่มีรูพรุน (ก้อนหินของเรานั้นแหละ)
CCS, CCUS EP6 Reservoir engineering EP4
ในตอนนี้ผมจะพาไปเจาะลึกถึงรายละเอียดที่มาที่ไปและเหตผลว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ โดยจะมีสมการมาประกอบ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับผมจะพยายามอธิบายให้เห็นภาพแน่นอนครับผม
CCS CCUS EP7 residual trapping – capillary trapping
กลไกการคงค้างในรูพรุน (Residual trapping / Capillary trapping)
จากตอนที่แล้วผมได้บอกว่า CO2 ของเราไปบุกรุกบ้านคนอื่น (น้ำเกลือ) ถูกไหมครับ จากนั้น CO2 บางส่วนถูกเจ้าบ้านไล่ตะเพิดกลับไปแต่ดันหนีไปไหนไม่ได้ซะงั้น มันเป็นเพราะอะไร? คำตอบอยู่ในรูปด้านล่างทางขวาและสมการทางซ้ายมือครับ

เครดิตรูปภาพนี้จะเป็นแค่กราฟนะครับที่เหลือผมไปยืมกราฟเค้ามาตัดแต่งรูปภาพให้ได้ชมกัน 55: Capillary Pressure–Saturation Relations for Supercritical CO2 and Brine in Limestone/Dolomite Sands: Implications for Geologic Carbon Sequestration in Carbonate Reservoirs | Environmental Science & Technology
มาดูที่กราฟทางขวามือกันหน่อยครับ! (ไอ้ที่ผมใส่เลข 1 ถึง 4 ไว้ให้ดูง่ายๆ นั่นแหละ) กราฟตัวนี้มันเล่าเรื่องของ “สงครามยึดพื้นที่” สุดมันส์ระหว่าง ‘เจ้าบ้าน’ (คือน้ำ) กับ ‘ผู้บุกรุก’ (คือ CO2) ที่เราอัดเข้าไปในรูพรุนหินครับ จำคอนเซ็ปต์ Drainage (เดรนเนจ) และ Imbibition (อิมบิบิชั่น) ในตอนที่ 3 ได้ไหม? นั่นแหละครับ มันมาใช้ตรงนี้แหละ!
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
วิธีการอ่านกราฟสำหรับสงครามยึดพื้นที่นะครับ เราต้องเริ่มอ่านจาก ขวาไปซ้าย ครับ เพราะตอนแรกก้อนหินของเรามี น้ำเต็ม 100% (Sw = 100% ตามเส้นประสีน้ำเงิน) คือน้ำเป็นเจ้าของพื้นที่ทั้งหมด
เมื่อกระบวนการเดรนเนจเริ่มต้นขึ้น (ตอนที่อัด CO2) ช่วง 1 ไป 2 (ช่วงสบาย) โดยธรรมชาติ CO2 มันฉลาดครับ มันจะพุ่งเข้าไปในรูพรุนที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดก่อน เพราะมันไหลได้โคตรง่าย! ทำให้ช่วงแรก แรงดันแคปพลิลารี่ (Pc) หรือเรียกง่ายๆ ว่า “แรงต้าน” ในการไล่ที่ยัง ต่ำอยู่ (ดูเส้นสีแดงสิครับ มันเริ่มแบบนิ่มๆ ค่อยๆไต่ขึ้น) พอไล่ไปสักพัก น้ำก็ถูกเตะออกจากบ้านไปบางส่วน (เหลือประมาณ Sw 50% ที่เลข 2)
ช่วง 2 ไป 3 (ช่วงยากลำบาก) พออัดไปเรื่อยๆ ห้องดีๆ รูใหญ่ๆ โดน CO2 ยึดหมดแล้วถูกไหมครับ ฉะนั้นไอเจ้า CO2 เนี่ย ต้องพยายามบุกเข้าสู่รูพรุนที่ เล็กจิ๋ว เท่านั้น!
ทีนี้แหละ “แรงต้าน” (Pc) ก็พุ่งสูงปรี๊ดดด (เส้นสีแดงวิ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าเลยครับ) เพราะน้ำมันเกาะติดแน่นมากจนไล่ไม่ไป555
สุดท้ายการบุกก็จะไปจบที่ เลข 3 ซึ่งเป็นจุดที่ CO2 ไล่น้ำออกไปได้มากที่สุดแล้ว… ส่วนน้ำที่เหลืออยู่ตรงนั้นคือ Swir (Irreversible water saturation) หรือน้ำที่ติดแน่นชนิดที่ CO2 ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ
ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลงครับ Imbibition (เส้นสีเขียว) เจ้าบ้านกลับมาล้างแค้น พอเกิด Imbibition (เจ้าบ้าน-น้ำ กลับมา) น้ำก็จะกลับมาไล่ CO2 ออกจากรูพรุนคืน (ตามเส้นสีเขียวย้อนกลับไป)
แต่เรื่องมันเศร้าครับ… น้ำไล่ CO2 ออกมาไม่หมด T_T บางส่วนของ CO2 จะถูก “ดักจับ” อยู่ในช่องรูพรุนเล็กๆ ในตอนที่มันพยายามจะไปไล่น้ำในช่วงเลข 3 นั้นแหละครับแต่ดันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดกลับออกมาเองไม่ได้เพราะตอนออกมาถูกน้ำ “รุมล้อม” เอาไว้จนไปไหนไม่ได้แล้วปรากฎการณ์นี้เรียกว่าการ Snap-off (ศัพท์เทคนิคคือ Water Enclosement ครับ)
ผมมีรูปขยายแบบชัดๆมาให้คือรูปนี้ครับ

เครดิตรูปภาพ: Capillary pinning in sedimentary rocks for CO2 storage: Mechanisms, terminology and State-of-the-Art – ScienceDirect
ซึ่งกระบวนนี้เนี่ยมันจะไปจบที่เส้นประสีเขียว (Sw อยู่ที่ประมาณ 70%) นั่นแปลว่า CO2 ถูกดักจับติดอยู่ข้างใน 30%
นี่แหละครับคือที่มาที่ไปของกลไก Residual Trapping (การดักจับแบบคงค้าง – residual แปลว่าเหลือหรือตกค้างนะครับ) นั่นเอง CO2 โดนขังถาวรไปเรียบร้อย! (ตัวเลขไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไปนะครับ เป็นเพียงตัวเลขตัวอย่างสมมุติให้เห็นภาพง่ายขึ้นเท่านั้น)
แถมครับ ไอเจ้าสมการ Pc (กรอบสีแดงด้านซ้าย) อธิบายกฏแห่งการไล่ที่ได้ง่ายๆ ครับ

ซึ่งผมแบ่งเป็นแก๊งค์มาให้เรียบร้อยแล้วครับ พจน์ด้านบน คือแก๊งค์ของ แรงตึงผิว ที่พยายามจะตรึงของไหลที่เราสนใจไว้ครับ (มันขึ้นอยู่กับมุมมองว่าเรามองในมุมของน้ำ หรือ CO2 ครับ) พจน์ด้านล่าง คือ ขนาดของรูพรุน (r) ครับ
มันเป็นความสัมพันธ์แบบผกผันกันครับ ! แปลว่า ถ้าขนาดรูพรุนใหญ่ (r มีค่ามาก) มันก็เหมือนเราเดินเข้าประตูโรงยิมบานใหญ่ๆ สบายๆ เลยครับ
กลับกันถ้ารูพรุนที่ไหลเข้าไปมีขนาดเล็ก (r มีค่าน้อย) มันก็เหมือนกับเราพยายามจะมุดเขาไปในลูกกรงครับ มันก็เลยเป็นที่มาที่ไปว่าทำไมตอนสุดท้ายกราฟเส้นสีแดงพุ่งสูงเสียดฟ้านะครับ 555
ก่อนจะจบผมขอเชื่อมโยงความรู้ย้อนกลับไปตอนที่แล้วนิดนึงครับ จำได้ไหมครับว่าผมเคยบอกว่า วังวน การไหลเข้าออกของน้ำกับ CO2 ในรูพรุนมันจะไม่มีทางจบสิ้นตราบใดที่ยังมีแรงดันให้ CO2 ไหลอยู่ (แรงดันก้นหลุม – BHP กับ แรงลอยตัวเนื่องจากน้ำที่เบาของ CO2 – Buoyancy Force)
กราฟเส้นสีแดงกับเส้นสีเขียวก็จะวิ่งขึ้นลงไม่จบไม่สิ้นครับ ซึ่งผมจะขออนุญาตแนะนำไอเจ้าวังวนนี้ว่า ฮิสเทอร์รีซิส (hysteresis) ครับ ซึ่งมันจะส่งผลให้ปริมาณของ CO2 ที่โดนดักจับไว้ในรูพรุนขนาดเล็กเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน
ข้อนี้สำคัญครับ มันจะทำให้การเข้าไปไล่ทีของ CO2 ในรอบหลังๆ เข้าไปได้ง่ายหรือยากยิ่งขึ้น พูดง่ายๆยิ่งอัดไปนานๆ จะยิ่งอัดเข้าน้อยลงหรือมากขึ้นนั้นแหละครับขึ้นอยู่กับสภาพแหล่งกักเก็บล้วนๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นรุนแรงนะครับ เพราะหากมันผ่านการไหลเข้า ไหลออกหลายๆรอบมันจะเริ่มหาจุดสมดุลของตัวมันเองได้ครับ ตัวอย่างกราฟ Capillary pressure (Pc) แบบ hysteresis ครับ ให้พอได้เห็นไอเดีย

เป็นไงครับสำหรับสายแข็ง 555 ฮ่าๆ เรื่องราวของ residual trapping ก็จบประมาณนี้แหละครับ
สิ่งหนึ่งที่ใครอ่านแล้วตกตะกอนได้ (ชี้ช่องรวย) จะเห็นได้ว่าแรงตึงผิวมีอิทธิพลก็การคงค้างไม่ให้ CO2 ไปไหนถูกไหมครับ ถ้าหากมีใครคิดค้นหรือหาสารเคมีมาใช้ปรับแรงตรึงผิวในแหล่งกักเก็บได้ ให้ตรึง CO2 ไว้ในหินเยอะๆ ไว้มาเรียกผมกับลุงนกด้วยนะครับ 5555 เราจะรวยไปด้วยกัน
เป็นไงบ้างครับสำหรับตอนนี้ หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ
ไว้ตอนนหน้ามาพบกันกับการลงรายละเอียดกลไกการคงค้างแบบการละลาย (Dissolution trapping) นะครับผม ไว้ผมกันครับ
Nautilus (Tuna) – nattirut.ys@gmail.com
Special thanks to PEwoF team
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR |
https://raka.is/r/gP7GV |
https://raka.is/r/qlzXR
https://raka.is/r/gP7GV