ตื่นเช้าหน่อยคนน้อยกว่า (#BTS) ทำไมทำงานจากที่บ้านไม่ได้ – ได้เห็นแคมเปญนี้แล้วก็อดคันแป้นพิมพ์ไม่ได้ อยากออกความเห็นบ้างครับ แน่นอนว่า มีคนเสนอหลายความเห็นออกสื่อไปแล้ว แต่ผมอยากจะแลกเปลี่ยนมุมมองที่ต่างไป
มุมมองที่ท้ายทายความเปลี่ยนแปลง ที่ต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ผู้นำที่ต้องกล้าตั้งคำถามที่นำไปสู่ความเป็นไปได้ มากกว่าที่ตั้งคำถามที่บังคับให้ตอบว่าทำไมถึงทำไม่ได้
ชาวเน็ตสวนแคมเปญ BTS “ตื่นเช้าหน่อยคนน้อยกว่า” มองผลักภาระคนเมือง
ตื่นเช้าหน่อยคนน้อยกว่า (#BTS)
ทำไมทำงานจากที่บ้านไม่ได้
ลองย้อนเวลากันไปนิดนึง ไม่มากไม่มาย เอาสัก 15 – 20 ปีก่อนก็พอ มีหลายๆอย่างที่เราคิดว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมธุรกิจบ้านเรา ผมคนหนึ่งล่ะที่เชื่อผิดๆแบบนั้น
ทุกวันนี้ผมรู้ว่าผมคิดผิดในเรื่องเหล่านี้
สั่งผักสดมาบ้านไม่ได้หรอก ของสดมันต้องออกไปเลือกไปซื้อ (ซิว่ะ) เดี๋ยวไม่สด 555 🙂
เสื้อผ้า รองเท้า มันต้องลองใส่ จะสั่งออนไลน์ได้ไง สั่งมาแล้วใส่ไม่ได้ทำไง สีจะเหมือนในรูปไหม เนื้อผ้าจะเป็นไง สัมผัสจับต้องก่อนซื้อก็ไม่ได้
GPS นำทางการขับรถใน กทม.เหรอ ทำไม่ได้หรอ กทม.ผังเมืองเรามันมั่ว ไม่เป็นระบบเหมือนเมืองใหญ่ๆที่เขาทำได้ เราเอามาทำไม่ดูตาม้าตาเรือ เดี๋ยวก็หลงกันตายพอดี
ปริญญา เรียน สอน สอบ ออนไลน์ ไม่ได้รับความเชื่อถือหรอก สอบกันอย่างไร เดี๋ยวก็ลอกกันหรอก ก็ไม่มีคนคุมสอบนิ
สั่งไอติมมากินที่บ้านเหรอ กว่าจะฝ่ารถติดมาถึง ก็ละลายพอดีดิ เหลือแต่ไม้ไอติมมาให้เลียอะ
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
ฯลฯ อีกมากมายครับ ที่ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ผมรู้แล้วว่าผมคิดผิด
ไม่เว้นแม้กระทั่งธุรกิจสีเท่าอ่อน เทาแก่ ไปจนถึงธุรกิจสีดำ ก็รับเอาการเปลี่ยนแปลงนี้เข้ามาทำในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก
ถ้าเราไม่ทำ คู่แข่งเราทำแน่
แล้วเราจะโดนถามว่า ทำไม(มึง)ไม่ทำก่อนมัน(ว่ะ)
อุตสาหกรรมเราเป็นอุตสาหกรรมที่ล้าหลังมากๆ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี และ การบริหารจัดการ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อาหารและยา รถยนต์ ปิโตรเคมี อย่าถึงกับให้ไปเทียบกับอุตสาหกรรมดอทคอม อุตสาหกรรมอวกาศ เลยครับ
วันนี้เรายังใช้เทคโนโลยีการขุดหลุมในแบบที่เราขุดกันมาเมื่อ 200 ปีก่อน เทคโนโลยีที่ว่านั่นคือ rotary drilling แบบที่เราใช้ทุกวันนี้นี่แหละครับ
เราใช้วิธีเอาอะไรหนักๆ (drill collar) กดหัวเจาะที่อยู่ปลายท่อกลวงๆยาวๆที่ค่อยๆต่อขันเกลียวแบบแป๊บน้ำโบราณ(ก่อนยุคท่อพีวีซีทากาวต่อ)ทีล่ะท่อนๆ ท่อนล่ะ 10 เมตร (ขุด 3000 เมตร ก็ใช้ 300 ท่อ … อุ … แม่เจ้า โลเทคจุงเบย)
ส่วนหัวเจาะก็ทำให้หินกระเทาะแตก (rock failure mechanism) ออกด้วย 2 วิธี ไม่ทุบ (Hammering) ก็เฉือน (Shearing) … อุตสาหกรรมอื่นเขามีวิธีทำให้สสารแตกเป็นชิ้นๆได้หลายสิบวิธีแล้วครับ
ด้วยข้อจำกัดของการทำให้หินแตกแบบที่ว่า มันก็มีแค่ 2 วิธีที่จะส่งพลังงานลงไปที่หัวเจาะ เพื่อทำให้หินแตก คือใช้น้ำหนักถ่วง(กด) + แรงบิด(จากการหมุน) เห็นไหมครับว่า เป็นวิธีที่คลาสิกมาก ตั้งแต่สมัยอาร์คีมีดิส เด้งก้นออกมาจากอ่างอาบน้ำแล้วร้องยูเรก้า นั่นแหละครับ
เมื่อความต้องการใช้พลังงาน(ทำให้หินแตก)เป็นแบบนี้ การส่งพลังงานจึงต้องเป็นแบบนี้ ข้อจำกัดทางวิศวกรรมมันก็จึงเป็นแบบนี้ คือ ก้านเจาะต้องใหญ่ หนา หนัก และ เหนียว ประมาณหนึ่ง นั่นทำให้หลุมก็เล็กได้ประมาณหนึ่ง แล้ว อะไรๆ ก็ต้องประมาณหนึ่งต่อไปเป็นลูกโซ่
ที่ผมยอมเล่ายืดยาว มาก็เพื่อให้เห็นภาพว่าในด้านเทคโนโลยีการขุดเจาะ อุตสหกรรมเราล้าหลังเพื่อนๆขนาดไหน
วกกลับาเรื่องการทำงานจากที่บ้าน เรื่องนี้หลายๆอุตสาหกรรมเขาไปกันถึงไหนต่อไหนกันแล้ว คำถามก็อย่างที่ผมจั่วหัวไว้ ถ้าเราไม่คิดเริ่มทำ ผมการันตีว่าคู่แข่งเราทำแน่ๆ (ไม่ว่าเราจะเป็นบ.ในกลุ่มไหน บ.น้ำมัน บ. service บ. ฯลฯ) แค่จะทำเมื่อไรเท่านั้น ถ้าเราไม่กล้าเริ่ม ก็คนเดินตามก้นเขาก็แล้วกัน
ต้องรอจนโดนบังคับให้ทำ (งั้นเหรอ)
ถ้าจะพูดให้หรูก็ต้องบอกว่า แหม เรารอเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสไง คือ ถ้าวิกฤติไม่มา (กู) ไม่คิดแก้ปัญหา วิกฤติที่ว่าคืออะไร …
ภัยธรรมชาติ เช่น หิมะตกหนักต่อเนื่อง พายุเข้า ควันไฟป่าเข้าเมือง (อินโดฯ สิงค์โปร์เจอบ่อย) PM 2.5 น้ำท่วมใหญ่ อย่างเช่นปีน้ำท่วมใหญ่กทม.ที่ผ่านมา ปิด รร.ปิด บ. ช่วง PM2.5 หรือ ภัยการเมือง ประท้วง ก่อจลาจล ตัวอย่างก็เช่น Bangkok shutdown ปี 2013 หรือ การเดินขบวนในฮ่องกง ตอนนี้ไงครับ
หลายบ.ถูกบังคับหาวิธีให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (ทีงี้ล่ะ ทำได้ขึ้นมาเชียวนะ)
ในอุตสาหกรรมเราก็เช่นกัน เข้าทำนอง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา การเปลี่ยนแปลงอะไรๆหลายๆอย่าง โดยมากเป็นการปรับกระบวนการทำงาน ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในตอนราคาน้ำมันเหลือ 23 – 30 เหรียญต่อบาเรลช่วงปลายปี 2014 ต่อเนื่อง 2015
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่คิดกัน หรือ คิด แต่ไม่มีใครกล้าจะเปลี่ยนแปลง ต้องให้เห็นเงาโลงศพมารอ คราวนี้ล่ะกุลีกุจอเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว
(เหมือนหนี้ครัวเรือนประเทศไทยนี่แหละครับ คอยดูอีก 3 – ปี นี้ซิครับ อ่วมแน่ๆ … ปล. โทษทีนอกเรื่อง)
เปลี่ยนคำถามกันดีไหม
แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมถึงทำ(งานที่บ้าน)ไม่ได้ เปลี่ยนมาเป็นว่า จะปรับเปลี่ยนขบวนการทำงานอย่างไรถึงจะทำให้(ทำงานที่บ้าน)ได้
โทษทีครับ ผู้บริหารหลายๆท่านท้าทายให้พวกเราระดับปฏิบัติการคิดนอกกรอบ ออกจากพื้นที่ที่เราคุ้ยเคย (comfort zone) ด้วยการตั้งคำถามแบบนี้ (ทำอย่างไรถึงจะทำได้ แทนที่ ทำไมทำไม่ได้) ผมก็จะขอถามท่านผู้บริหารกลับไปด้วยคำถามเดียวกันเช่นกัน
ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้บริหารระดับไหนก็ตาม ท่านควรถูกท้าทายด้วยคำถามนี้ …
ไม่ใช่ทุกงานที่ทำงานจากบ้านได้
(และก็คงไม่ใช่ทุกวันที่ทำได้)
ก่อนจะตอบว่าทำไม่ได้ อยากท้าทายให้พวกเราที่เป็นผู้บริหาร ไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ลองมองดูแผนก/หน่วยงนที่เราดูแลมีอำนาจปกครองอยู่ แบ่งย่อยๆ ไปทีล่ะแผนก ลองตั้งคำถามว่า แผนกไหน สามารถทำงานจากที่บ้านได้เป็นบางวัน และ ทำได้กี่วัน แผนกไหนยังไม่สามารถ
แล้วตั้งคำถามต่อไปว่า ทำอย่างไร ปรับเปลี่ยนอะไรตรงไหน ถึงจะทำให้แผนกที่ไม่สามารถนั้น สามารถ และ แผนกที่สามารถเป็นบางวัน สามารถหลายวันมากขึ้น
แน่นอนครับว่า จะต้องมีงานที่จำเป็นที่ต้องพบป่ะกันซึ่งๆหน้า หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเข้าใจ และ เห็นด้วยแรงๆ ซึ่งก็ควรจะว่ากันเป็นกรณีๆไปว่า ให้เข้ามาจับเขาคุยกันแบบเห็นหน้ากันหน่อย
โดยเฉพาะเทคโนโลยี 4G 5G กันแล้ว หลายๆงานประชุมหรือนำเสนอการขาย มูลค่าหลายล้าน การจ้างงานตำแหน่งใหญ่ๆโตๆ ก็ทำผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้ทั้งสิ้น ถึงแม้ไม่ทั้งหมด ก็บางส่วน (และก็เพิ่มส่วนที่ทำได้ขึ้นทุกๆวัน)
ติดที่ HR อะครับพี่ เขาไม่ยอม
ผมไม่มีอะไรจะแนะนำมากไปกว่า HR คือ แผนกที่ทำตัวเป็น business partner (หุ้นส่วนธุรกิจ) หมายความว่า ธุรกิจมีกลยุทธ์จะไปไหนก็ควรจะหาทางให้ไปด้วยกันให้ได้ ไม่ใช่ทำตัวเป็น business stopper แบบว่า ธุรกิจจะไปทางนั้นทางนี้ก็มัวแต่จะบอกว่า ไปไม่ได้นะจ๊ะเพราะอย่างนั้นอย่างนี้
หุ้นส่วนธุรกิจควรจะต้องช่วยกันคิดว่า ต้องปรับอะไรต้องเปลี่ยนอะไร ถึงจะเป็นหุ้นส่วนไปได้กับแนวทางที่ธุรกิจจะไปมากกว่า
ภาวะผู้นำ
ในที่สุดแล้ว ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้นำองค์กรมีวิสัยทัศน์ และ แสดงความเป็นผู้นำที่กล้าหาญที่จะลงมือทำ ก่อนที่คู่แข่งจะทำ หรือ ต้องให้เห็นโลงศพลอยน้ำผ่านมาหน้าบ.แล้วค่อยคิดจะทำ
อย่าให้ผู้นำองค์กร (แผนก) ที่โดยมากก็รุ่นน้องนั่นแหละ มาต้องคำถามลับหลังว่า ทำไมไม่มีใครคิดจะทำ (ก่อนกูว่ะ) …
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR |
https://raka.is/r/gP7GV |
https://raka.is/r/qlzXR
https://raka.is/r/gP7GV