ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ

(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)

https://raka.is/r/qlzXR https://raka.is/r/gP7GV

คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ ปี 61 อยู่ที่ 52 – 57 ดอลล์/บาร์เรล – ข่าว

คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ ปี 61 อยู่ที่ 52 – 57ดอลล์/บาร์เรล … ชีพจรวงการเรา ตามๆข่าวกันไว้หน่อย เหมือนกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ ทำงานในวงการตลาดฯ ก็ต้องดูแนวโน้มดัชนีราคาหุ้นไว้ จะตัดสินใจทำอะไร ก็จะได้รอบคอบ เพราะไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แนวโน้มราคาน้ำมันก็กระทบหม้อข้าวเรา

คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ ปี 61 อยู่ที่ 52 – 57 ดอลล์/บาร์เรล

ผมคงไม่บังอาจจะให้ความเห็นอะไรกับการคาดการณ์แนวโน้มราคาฯของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ได้แต่แสดงความเห็นแบบผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาในวงการฯจนเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า อะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลง มีขาขึ้น มีช่วงอยู่ตัว แล้วก็มีช่วงขาลง แล้วมันก็วนๆไปแบบนี้

It is not the strongest of a species that survives, nor the most intelligent. It is the one most adaptable to change.

– Charles Darwin

ใช่ครับ คนที่ปรับตัว ยืดหยุ่น ไม่ยึดติด เท่านั้น ที่จะอยู่รอด …

เรื่องที่ 2 ที่อยากออกความเห็นคือ Disruptive Technology ที่คงไม่ต้องแปลล่ะว่าหมายถึงอะไร เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงมากมาย และ กระเทือนวงการเราคือ เทคโนโลยีพลังงานทดแทน ซึ่งมีมากมายหลายชนิด แต่ตัวที่มาแรงแซงโค้ง ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้น่าจะเป็น EV หรือ Electric Vehicle

ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล

ก็คงไม่ต้องอธิบายกันอีกว่า EV คืออะไร มีกี่รุ่น แต่ล่ะรุ่นมีลักษณะอย่างไร หรือ ความท้าทาย(อุปสรรค)ต่างๆของ EV เพราะมีกูรูหลายๆท่านอธิบายเอาไว้มากมาย กูเกิลหาอ่านเอาเองได้ มีทั้งภาษาไทย และ อังกฤษ

แต่คำถามคือ EV จะมาแทนรถเครื่องยนต์สันดาปใน (ICE – Internal Combustion Engine) ที่ใช้พลังงานฟอสซิลไหม และ ถ้ามาแทนกันได้จริงๆ จะมาเมื่อไร

คำตอบแรกน่ะ มันแหง๋ๆ คือ มาแทนแน่ๆ แต่มาเมื่อไรต่างหากที่เป็นคำถามหักปากกาเซียนๆกูรูๆหลายสำนัก

พวกเราที่เสพสื่อและฟังกูรูทำนายอะไรมักจะแปลกอย่างนึง คือ ไม่ค่อยมีใครกลับไปทำสถิติว่า กูรู (อาจจะโดยชื่อเป็นรายคน ดร.โน้น อาจารย์นี่ หรือ เป็นกูรูในนามสถาบันฯ ในนามบริษัท) คนไหน ทำนายอะไรเอาไว้ แล้วถูกแค่ไหน

-------------------------------------------------------

ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ

กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น

จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ … อ้อ … อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น แล้วอย่าลืม mark as not junk or spam ด้วยนะครับ เวลาส่งเตือนคราวหน้า จะได้ไปอยู่ใน in box :)

พูดเลย ขนาดกูรูที่ปรึกษาบ.ดังๆจ่ายแพงๆจ้างมาทำนาย ก็ทายผิดกันทุกปี เวลาเอาผลงานมานำเสนอ ผมมักจะกวนโอ้ย ให้เอาผลงานการประมาณการในอดีตกับผลที่เกิดขึ้นจริงมาเทียบเปิดฟลอร์ให้เห็นหน่อยว่า ที่ผ่านมา โมเดลของคุณน่ะ ทำนายเป็นอย่างไร

โดยมากก็ไม่ยอมเอามาให้ดูหรอก เพราะมันไม่ค่อยจะถุก ดังนั้น เวลากูรูบ.ที่ปรึกษาพวกนี้มาพูดให้ฟัง ผมก็มักจะครึ่งหลับครึ่งตื่น คือ ฟังหูไว้หู

ที่ผมเชื่อที่สุดคือเชื่อตรรกะแนวคิด และ ความเป็นเหตุเป็นผลที่ผมสรุปได้เอง ก็เหมือนคำเตือนการลงทุนในหลักทรัพย์น่ะครับ “ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” อะไรทำนองนี้แหละ

คิดแบบวิศวกรบ้านๆน่ะครับ อุปสรรคสำคัญมากๆของ EV คือ ตัวเก็บพลังงาน ซึ่งก็คือ “แบตเตอรี่” ที่ตอนนี้ยังทำให้ พลังงานต่อน้ำหนัก และ พลังงานต่อราคา ได้ ไม่สวยเท่าไรนัก

โดยฟิสิกส์แล้วในขบวนการเอาพลังงานเข้าไปเก็บ (ไฟฟ้า – > เคมี) แล้วเอาพลังงานออกมา (เคมี -> ไฟฟ้า) ก็มีการสูญเสียไปปริมาณหนึ่ง อาจจะไม่มากเท่าการสูญเสียในรูปความร้อนของเครื่องยนต์สันดาปใน แต่ก็สูญเสียระดับหนึ่ง และ แน่นอนก็มีของเสียเกิดขึ้นในขบวนการดังกล่าวด้วย ยังไม่นับเวลาในการเติมพลังงาน (ชาร์จแบตฯ) vs. เวลาในการใช้พลังงาน

ณ.ตอนนี้ผมยังไม่เห็นรูปธรรมที่เป็นไปได้ “ทางเศรษรฐกิจ” ของอนาคตเทคโนโลยีแบตเตอรี่เลยครับ

ประเด็นต่อมาคือการมาทดแทนปิโตรเลียมก็คงไม่ทั้งหมด เพราะ EV จะมาแทนก็เพียงด้านพลังงานเท่านั้น ปิโตรเลียมยังเอามาผลิตอะไรต่อมิอะไรได้มีกมากมายที่เป็นมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าเอาไปเผาปั่นไฟฟ้า เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ

สุดท้ายประเด็นที่ EV จะมานั้น ไม่ได้ทำให้การใช้ปิโตรเลียมเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน “หมดไป” แต่แค่ “น้อยลง”

คิดง่ายๆ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ปิโตรเลียมเป็นเชื้อเพลิง (เคมี-ไฟฟ้า) มีประสิทธิภาพ 50% (นี่เยอะแล้วนะครับ) สายส่ง 98% แบตเตอรี่ (ไฟฟ้า-เคมี-ไฟฟ้า) 99% มอเตอร์ไฟฟ้า (ไฟฟ้า-กล) 95% ดังนั้นระบบรวมๆจะมีประสิทธิภาพ  50% x 98% x 99% x 95% = 46% นั่นคือพลังงานในน้ำมัน 100 เปลี่ยนไปเป็นพลังงานกล (แรงบิดคูณรอบหมุน) สุดท้ายได้แค่ 46

ส่วนเครื่องยนต์สันดาปใน (ICE – Internal Combustion Engine) นั้นเป็นเครื่องจักรกลความร้อน (heat engine) ที่ประสิทธิภาพเครื่องยนต์เป็นไปตามกฏของเทอร์โมฯ ประสิทธิภาพสุดๆที่เป็นไปได้ของพาหนะบนถนน (ไม่รวมรถแต่ง รถแข่ง) รู้ๆกันอยู่ว่า อยู่ที่ 18 – 20% แปลว่า พลังงานในน้ำมัน 100 เปลี่ยนไปเป็นพลังงานกล ได้แค่ 20 ที่เหลือ 80 หายไปกับสายลม (ความร้อนซะเป็นส่วนใหญ่)

ส่วนต่าง 46 – 20 = 26% พลังงาน นั้น เมื่อเปลี่ยนกลับก็คือปริมาณน้ำมันที่ต้องใช้ที่น้อยลง ดังนั้น EV ไม่ได้ ทำให้การใช้น้ำมัน(หรือก๊าซ)หมดไป “หมดไป” แต่แค่ “น้อยลง”

หาบ้านให้น้องหน่อยครับ :)

ขาวจั๊วะ กอดได้ อิงได้ วางประดับได้

ปาหัวคนข้างๆก็ได้ (เวลาใช้ให้ไปล้างจานแล้วไม่ยอมไป)

https://raka.is/r/XBBPp

ในที่สุดแล้วกลไกราคาจะเป็นตัวชี้ขาดว่าอะไรจะมาแทนอะไรแค่ไหนเมื่อไร

กูรูไหนจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ความเห็นส่วนตัวผมนะ ผมว่า อีก 15 ปีข้างหน้า รถครึ่งหนึ่งในท้องถนนเมืองไทยก็ยังไม่เป็น EV … จดไว้บนข้างฝาเลยครับ

เม้าส์มาเยอะแล้ว ไปอ่านข่าวกันดีกว่า

คาดราคาน้ำมันดิบดูไบ ปี 61 อยู่ที่ 52 – 57ดอลล์/บาร์เรล

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/779209

“ปตท.” คาดราคาน้ำมันดิบดูไบปี 61 อยู่ที่ 52-57 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามสมมุติฐานเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.7% ความต้องการใช้น้ำมันของโลกแตะ 1.4-1.5 ล้านบาร์เรล/วัน

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา 2017 The Annual Petroleum Outlook Forum โดยทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM (Petrochemicals and Refining Integrated Synergy Management) ร่วมกับ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ว่า การนำเสนอข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับราคาน้ำมัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี หรือ Disruptive Technology จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนและนโยบายภาครัฐในอนาคต

โดยทีม PRISM คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 52-57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่คาดการณ์ราคาอยู่ที่ 45-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายใต้สมมุติฐานอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(จีดีพี)โลกปี2561 อยู่ที่ 3.7% จากปี 2560 คาดการณ์เติบโตที่ 3.6% และความต้องการใช้น้ำมันของโลก ปี 2561 อยู่ที่ 1.4-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องเทคโนโลยี โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ที่ปี 2559 ทั่วโลกยังใช้รถไฟฟ้าอยู่ที่ 2 ล้านคัน 0.1% ของส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) ในตลาดรถยนต์ที่ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน อยู่ที่ 1,000 ล้านคัน รวมถึงนโยบายสิ่งแวดล้อม ยังไม่มีความชัดเจนมากพอในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก
อย่างไรก็ตาม

ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในปี 2561 นั้น ยังต้องจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก (นอนโอเปก) ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ที่จะกำหนดมาตรการเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันในอนาคต

โดยทีม PRISM ประเมินไว้ 2 กรณี คือ กรณีที่กลุ่มโอเปกต่ออายุมาตรการลดกำลังผลิตไปจนถึงมิ.ย.ปี 2561 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และกรณีที่ 2 ลดกำลังผลิตถึงธ.ค.ปี 2561 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 52-57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ

(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)

https://raka.is/r/qlzXR https://raka.is/r/gP7GV

--- มีคำถามเพิ่มเติม พูดคุย เม้าส์มอย ไปต่อกันได้ที่กระดานสนทนา (webboard) นะครับ

คลิ๊กเลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

The Sweet Girl

ของมือสองของเฟิร์นค่ะ มีหลายชิ้นเลย ราคาดีสุดๆ (คลิ๊กที่รูปนะคะ ลิงค์จะพาไปที่ร้านค่ะ)

Fern shop

--------- คลิ๊ก - The Sweet Girl ----------