Star Trek ชวนดูซีรี่ย์เก่าๆ ดูหนังฟังเพลง หลังสงกรานต์

• Facebook
• Twitter
• Line

Star Trek เป็นภาพยนต์ที่เอาซีรี่ย์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานานในยุค baby boomer เอามาทำใหม่ เวอร์ชั่นล่าสุดที่เราติดตากันเมื่อปีที่แล้วก็เวอร์ชั่นข้างล่างนี้

แต่จริงๆแล้ว มหากาพย์ซีรี่ย์นี้มีมานานมากว่า ไม่น่าเชื่อว่า มีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด ในปี ค.ศ. 1966 โน้น เป็นยุคที่ baby boomer ครองโลกใบนี้ ซี่รี่ย์นี้อยู่ยังยืน ผ่านปลายสงครามโลกครั้งที่สอง การยอมรับคนผิวสีในอเมริกา ผ่านสงครามเย็น การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน และ สหภาพโซเวียต ฯลฯ มาจนถึงปัจจุบัน

ซีรี่ย์นี้มีมากมายหลายเวอร์ชั่น ทั้งในรูปแบบของทีวีซีรี่ย์ และ ภาพยนตร์

แต่ที่ผมจะชวนคุยนั้นไม่ใช่รายละเอียดของหนังหรอกครับ ผมจะชวนดูซีรี่ย์เรื่องนี้ในฐานะที่เนื้อเรื่องและตัวแสดงสะท้อน เวทีสุขนาฏกรรม และ โศกนาฏกรรม ของชีวิต (และสังคมมนุษย์เรา) ไม่ว่าจะเวทีที่ชื่อว่า ความสัมพันธ์ การงาน การเมืองการปกครอง

ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Star_Trek

Star Trek

อย่างที่เกริ่นมาแล้วว่า ซีรี่ย์เรื่องนี้ เกิดมาในยุค baby boomer ยุคที่การแสดงออกทางความคิดความเห็น เสรีภาพ ต่างๆ จำต้องอยู่ในกรอบๆหนึ่งที่จำกัดมาก (เมื่อเทียบกับกรอบของพวกเราทุกวันนี้)

ดังนั้น ส่วนหนึ่งของการแสดงออกมาผ่านเนื้อเรื่องและตัวแสดงจึงแฝงออกมาในลักษณะของเรื่องราวเปรียบเทียบ และ สังคมจำลอง

ลองมาดูกันว่า มหากาพย์เรื่องนี้ยาวนานขนาดไหน

ที่มาก็ Wikipedia นั่นแหละ

Star trek เป็นเรื่องราวการผจญภัยของมนุษย์ และ มนุษย์ต่างดาวมากมายหลายสายพันธุ์ ที่ทำงานด้วยกันในหน่วยงานที่ชื่อว่า Starfleet ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ United Federation of Planets (อารมณ์ประมาณ์ UN ของโลกสมัยนี้นั่นแหละ) โดยหน่วยงานนี้มีพันธกิจเพื่อมนุษยธรรม การแสวงหาวิทยาการและอารยธรรมใหม่ๆ โดยยึดมั่นในสันติวิธี (คุ้นๆไหมครับ ว่าจำลองอะไรมา 555)

ตัวละครต่างๆมีหลายๆบทบาทที่แตกต่างกัน ซึ่ง(ในสายตาผม)เหมือนจะเป็นตัวแทนของอะไรบางอย่างในสังคมมนุษย์เรา ที่บ้างก็ตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยตรรกะมากมาย บ้างก็เป็นผู้ปฏิบิติที่เข้มแข็ง บ้างก็ทำงานโดยใช้สมองส่วนซ้ายมากกว่าส่วนขวา ฯลฯ

โดยที่ทุกตัวละครแทรกไว้ด้วยคุณค่าของ altruistic อันหมายถึง การเสียสละ เมตตา อยู่เพื่อดำรงประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยคุณค่าและหลักการนี้ได้ถูกท้าทาย (ความถูกต้องถูกผิดเมื่อต้องอิง ต้องแลกกับอะไรกบางอย่าง) อยู่บ่อยๆในหลายๆตอนของซีรี่ย์

นอกจากนี้ เนื้อเรื่องในแต่ล่ะตอน (45 นาที) แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงหลายๆอย่างในหลายๆมิติที่ขัดแย้ง และ ชวนให้ฉุกคิดในหลายๆมิติของสังคมของเรา เช่น สงคราม และ สันติ, ความจงรักภักดีส่วนตัว อำนาจบังคับบัญชา จักรวรรดินิยม ระดับชั้นของสงคราม เศรษฐศาสตร์ คลั่งเชื้อชาติ คลั่งลัทธิ มนุษยธรรม ความเท่าเทียมกันทางเพศ สิทธิสตรี และ บริบท-บทบาทของเทคโนโลยี (ในสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด)

แต่ล่ะตอนมีประเด็นให้ฉุกคิดตลอดครับ โดยเฉพาะกับการทำงานที่ตัวเราต้องเป็นผู้บังคับบัญชา เป็น ผู้นำทีม (กัปตัน) มีลูกน้อง มีผู้ร่วมทีมที่แตกต่างกันอยากมากในทุกๆด้าน สร้างปัญหาความท้าทายกันทุกวันทุกภาระกิจ รวมไปถึงปัจจัยภายนอกของทีมงาน การนำทีมไปทำพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้กรอบ (มันต้องมีกรอบอะไรสักอย่างเสมอ) จึงเป็นอะไรที่เป็นทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ ที่ท้าทายเป็นอย่างมาก

ทุกๆตอนจะมี ปรัชญา คำคม จากบุคคลสำคัญต่างๆ (ส่วนมากเป็นค่ายตะวันตก) แทรกอยู่ตลอดเรื่อง เป็นการสะสมภูมิปัญญา ความรอบรู้ ทีละเล็กละน้อยได้เป็นอย่างดี เช่น มีบาง phrase ที่แว่บเข้ามาในหัวผมตอนนี้ก็อย่างเช่น Existing without reason is Nonexistent

ภาษาอังกฤษที่ใช้ในซีรี่ย์ก็อยู่ในระดับเบสิกที่พอเข้าใจได้ ไวยากรณ์ตรงไปตรงมา แต่อาจจะติดที่คำศัพท์ ที่บางที ดู “หรู” ไปหน่อย แต่ก็ เป็นภาษาสวยๆ ที่เราสามารถจำเอาไปใช้ได้

เค้าใจว่าพวกเราเซียนๆกันทั้งนั้น สามารถหาดูได้ไม่ยากจากแหล่งออนไลน์มากมาย โดยส่วนตัวผมดูจากผู้ให้บริการ streaming เจ้าหนึ่ง (ไม่บอกว่าเจ้าไหน เพราะไม่ได้ค่าสปอนเซอร์ 555)

ขอทิ้งท้ายไว้ด้วย ประโยคเปิดซีรี่ย์ของเวอร์ชั่นหนึ่งที่ว่า …

Space, the final frontier. These are the voyages of the Star ship Enterprise. Its continuing mission to explore strange new worlds, to seek out new life and new civilization, to boldly go where no one has gone before…

Star Trek: The Next Generation

• Facebook
• Twitter
• Line