Mubadala takes from Northern Gulf Petroleum 10%

• Facebook
• Twitter
• Line

Mubadala takes from Northern Gulf Petroleum 10% – ข่าวไม่มีอะไรมากครับ สั้นๆ

ตอนแรกโครงสร้างผู้ถือหุ้นในแปลงสำรวจหมายเลข G1/48 (แหล่งผลิตปิโตรเลียมมโนราห์) หน้าตาแบบนี้

• บริษัท MP G1 (Thailand) Limited ถือ 60% (บริษัทในเครือบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม)
• Tap Energy (Thailand) Pty Limited ถือ 30% และ
• Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ถืออยู่ทั้งหมด 10%

Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ขายหุ้นทั้งหมดให้ มูบาดาลา

• บริษัท MP G1 (Thailand) Limited ถือ 70% (บริษัทในเครือบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม)
• Tap Energy (Thailand) Pty Limited ถือ 30% และ

เป็นเรื่องปกติครับ แต่ล่ะบ.ก็ประเมินสถานการณ์กระแสรายได้จากธุรกิจแตกต่างกันออกไป ทำนอง สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย อ่ะครับ

ไม่มีใครถูกใครผิด คนขายบางทีก็อยากได้เงินสดไปจุนเจือธุรกิจหลักในที่มั่นของเขา เขาก็ขายสินทรัพย์ที่เป็นหมวดรองๆในการลงทุนออกไป ไม่ได้แปลว่าของนั้นไม่ดี แค่ไม่เหมาะที่เขาจะถือไว้ในเวลานั้นๆ

ไม่งั้นในตลาดหุ้น จะมีคนซื้อๆขายๆของอย่างเดียวกันหรือครับ 555

ตามเคยครับ #ข่าวเดียวกันอ่านที่นี่ได้มากกว่าข่าว ใครไม่รู้จักมูบาดาลาก็สามารถเข้าไปอ่านบทความเก่าที่ผมเล่าเรื่องบ.นี้เอาไว้ได้ครับ

ส่วนคำว่า “ผู้ดำเนินงาน” ที่ผม highlight สีแดงไว้ในข่าว ในภาษาพวกเราเรียกว่า operator ซึ่งก็คือ คนที่ลงมือทำกิจกรรม สำรวจ และ ผลิต ปิโตรเลียม โดยผู้ร่วมลงทุนอื่นๆคอยกำกับดูแล ลงขันค่าใช้จ่าย และ รับส่วนแบ่งรายได้ตามสัดส่วนที่หุ้นกัน

โดยมากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (ลงขันเยอะสุด) มักจะเป็นผู้ดำเนินการ

เหตุผลก็ชัดเจนอยู่แล้ว ลงเงินเยอะ ความเสี่ยงมาก ก็ต้องลงมือเอง จริงไหมครับ แต่ก็มีบางกรณีที่ ผู้ลงขันเยอะสุด ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง

เท่าที่ผมเจอมามี 2 กรณี คือ 1. ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางการขุดเจาะ หรือ ทางธรณีของคนที่ลงหุ้นน้อยมีมากกว่า และ 2. เหตุผลทางการเมือง ไม่ว่าการเมืองระหว่างประเทศ หรือ การเมืองในอุตสาหกรรมเรากันเอง 555 🙂

มูบาดาลา เขาเป็นใคร มาจากไหน จะมาแนะนำให้รู้จักกันครับ

มูบาดาลา เขาเป็นใคร มาจากไหน จะมาแนะนำให้รู้จักกันครับ

Mubadala takes from Northern Gulf Petroleum 10%

ที่มา … https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910895

มูบาดาลา ปิโตรเลียม ลงนามรับโอนสิทธิ ประโยชน์ และ พันธะ แปลงสำรวจหมายเลข G1/48 แหล่งผลิตปิโตรเลียม มโนราห์ ที่ Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 10% ทำให้มีหุ้นเพิ่มเป็น 70% พร้อมทั้งเป็นผู้ดำเนินงาน

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน แล ะผู้แทนจากบริษัทมูบาดาลา ปิโตรเลียม และ บริษัท Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ร่วมเซ็นสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม เพื่อโอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ แปลงสำรวจหมายเลข G1/48 แหล่งผลิตปิโตรเลียม มโนราห์

โดย Northern Gulf Petroleum Pte. Ltd. ถืออยู่ทั้งหมด 10% ให้แก่บริษัท MP G1 (Thailand) Limited บริษัทในเครือบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ส่งผลให้สัดส่วนเปลี่ยนเป็นบริษัท Tap Energy (Thailand) Pty Limited ถือ 30% และ บริษัท MP G1 (Thailand) Limited ถือ 70% พร้อมทั้งเป็นผู้ดำเนินงาน

recta sapere

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ แต่เอ๊ะ ทำไมบางศาสนาเน้นสอนเรื่องความรัก

ในฐานะคริสตชน โรมันคาธอลิก คำถามข้างต้น เป็นคำถามที่ผมถูกถามมาตลอดชีวิต และ ผมก็พยายามหาคำตอบมาตลอดชีวิตเช่นกัน เพราะหลักธรรมของศาสนาคริสต์สอนให้รักพระเจ้าอย่างสุดชีวิต และ จิตวิญญาณ และ ให้รักผู้อื่น เหมือนรักตัวเอง

ในขณะที่ศาสนาพุทธสอนว่า ละเว้นความชั่ว ทำความดี และ ทำจิตให้บริสุทธิ์

หลังจากที่ผมได้ปฏิบัติวิปัสสนาในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา ผมไม่อาจจะบอกว่า ผมพบคำตอบ หรือ นี่เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่ผมคิดว่าเป็นคำตอบที่พอกล้อมแกล้ม อธิบายคำถามข้างต้นได้ระดับหนึ่ง

“ความรัก” ตามความหมายของคริสต์ศาสนามีความหมายเชิงปรัชญาแบบกว้าง ไม่ใช่ความรักแบบที่คาดหวังว่าจะได้จะเอาอะไรกลับคืน (ความรักแบบที่ทำให้เกิดทุกข์)

ความรักในความหมายนี้ รวมเอาความปราถนาที่จะให้ทุกสรรพสิ่ง (มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต ทั้งจักรวาล) มีความสุข (เมตตา) ปราถนาที่จะให้ทุกสรรพสิ่งพ้นจากทุกข์ ยินดีเมื่อสรรพสิ่งประสบความสุข (มุทิตา) และ จิตที่มอบทุกอย่างทุกความเป็นไปให้อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า (ธรรม) คือ ไม่ชอบ และ ไม่ไม่ชอบ ความเป็นไปของทุกๆสรรพสิ่ง เพราะนั่นคือพระประสงค์ เทียบหยาบๆก็คือ อุเบกขา นั่แนหละ

ด้วยความจำกัดของภาษาฮีบรูที่ใช้เป็นภาษาหลักในการเทศน์สอนในสมัยนั้น (ผมเดาเอาว่างั้น) จึงใช้คำว่า “ความรัก” แทนความหมายทั้งหมดนั่น

ในขณะที่จิตที่บริสุทธิ์ในความหมายของพุทธศาสนา คือ จิตที่เต็มไปด้วยอุเบกขา ซึ่งผมได้ลิ้มรสความหมายที่แท้จริงของคำนี้ด้วยตัวเองระหว่างปฏิบัติวิปัสสนา (แม้จะช่วงสั้นๆ)

ทำให้ผมถึงบางอ้อว่า จริงๆแล้ว “ธรรม” ทั่วทั้งจักรวาล เหมือนกันหมด เพียงแต่วิธีที่ผู้ “พบ” นำมาเทศน์สอน บอกต่อ เท่านั้นที่แตกต่างไปตาม ระดับปัญญาของหมู่ชนนั้นๆ ความเชื่อเดิมที่มีก่อนหน้า ภูมิรัฐเศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา ระบบนิเวศน์ทางปัญญา และ ภาษา ในสมัยนั้นๆ

ผมเชื่อว่า ศาสดาทุกศาสนาพบ ธรรม เดียวกัน แต่ท่านปรับคำสอนของท่านให้เหมาะสม (customize) ต่างหาก แม้แต่ศาสดาท่านเดียวกัน เทศน์สอนแต่ล่ะครั้ง แต่ล่ะเมือง แต่ละผู้มาขอรับธรรมจากท่าน ท่านก็มีวิธีสอนที่แตกต่างไป

ดังนั้น การศึกษาเปรียบเทียบคำสอน จึงเป็นกิจกรรมที่ผมคิดว่าไร้สาระ ไร้ประโยชน์ เสียเวลาชีวิต มาก เพราะเรามักจะเทียบแบบแคบๆ ในมุมมองพื้นนิเวศน์ของตนเอง

สู้เอาเวลาชีวิตไปศึกษาศาสนาที่ตัวเองเคารพนับถือ และ ดำเนินชีวิตตามอย่างดีที่สุด จะดีกว่าครับ

เสมือนคนไข้สองคนเถียงกันว่าแนวทา่งรักษาของหมอเจ้าของไข้ตัวเองดีกว่าอีกคน เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ไม่ทำตามแนวทางรักษาของหมอตัวเอง … แบบนี้ ยังไงๆก็ไม่หายป่วยหายไข้ … จริงไหมครับ 🙂

• Facebook
• Twitter
• Line