Waste management การกำจัดกากของเสียอันตรายจากการเจาะหลุมฯ – การขุดหลุมปิโตรเลียมก็เป็นงานวิศวกรรมที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมที่ต้องมีการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องมีการประเมินผลกระทบ และ ประชาพิจาารณ์ อย่างที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
ในตอนนี้ จะมาพูดถึงเรื่องเฉพาะเจาะจงลงไป นั่นคือ กฏติกาการกำจัดของเสียที่เกิดจากกระบวกการขุดเจาะหลุมปิโตรเลียม
กากของเสียอันตรายหลักๆเลยที่เกิดจากการขุดเจาะ นั่นคือ เศษหิน (cutting) ที่ปนเปื้อนน้ำโคลน เราทำให้พื้นโลกเป็นรู เนื้อหิน ปริมาตรเดียวกับ หลุมโบ๋ๆนั่นแหละครับ คืด กากคือเศษหินที่เราต้องหาทำกำจัดมัน
วิธีที่ยอมรับและถือปฏิบัติอยู่ตอนนี้คือ เอาไปเข้าโรงผลิตซีเมนต์
ในการเปลี่ยนหินปูนเป็นซีเมนต์ที่เราเอามาใช่ก่อสร้างเนี้ย ต้องผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูงมากๆ ซึ่งของเสียจากหลายๆอุตสาหกรรม (ไม่เฉพาะอุตฯเรา) จะถูกส่งมารับจ้างบำบัด คือ เผาทิ้งที่โรงทำซีเมนต์ ไม่ใช่ให้มาเผาฟรีๆนะครับ ต้องจ่ายตังค์ให้โรงงานซีเมนต์ เพราะเขาต้องเสียค่าเชื้อเพลิงเพิ่ม
แต่ถ้าหากของเสียปนเปื้อนสารเชื้อเพลิงมาบางส่วน ก็อาจจะได้รับลดหย่อนค่าจ้างเผากำจัด หรือ แม้แต่ได้เงินคืน เพราะเชื้อเพลิงที่ปนเปื้อนมาสามารถให้ความร้อนช่วยในการเผา ทำให้โรงซีเมนต์ประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ เศษหินที่ปนเปื้อนน้ำโคลนที่ทำมาจากน้ำมัน (oil base mud)
ส่วนเปลวไฟที่เกิดจากแท่นผลิตฯเผาปิโตรเลียมส่วนเกินจากการทดสอบ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่เราเห็นในรูปสวยๆนั้น ไม่เกี่ยวกับแท่นขุดเจาะของเราครับ
ผมก็ทราบๆจากพี่น้องบนแท่นผลิตว่าเขาก็มีมาตราการกำกับดูแลเฉพาะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอยากเผาให้สว่างๆยามค่ำคืนเป็น background ถ่ายรูปลงเฟสบุ๊คก็เผากันสวยๆ ก็ไม่อย่างนั้น
ส่วนบนแท่นขุดเจาะของเราก็มีโอกาสที่จพต้องเผาปิโตรเลียมทิ้งเช่นกันในกรณีการทดสอบหลุม
เอ๊ะ การทดสอบหลุมคืออะไร ทำไปทำไม นี่ครับ ยั่วให้อยากแล้วต้องมีเฉลย 🙂
การทดสอบหลุม ตอนที่ 1 เราทดสอบหลุมไปทำไม Introduction to well testing part 1
การทดสอบหลุม ตอนที่ 2 เราทดสอบหลุมไปทำไม Introduction to well testing part 2
การทดสอบหลุม ตอนที่ 3 เราทดสอบหลุมไปทำไม Introduction to well testing part 3
การทดสอบหลุม ตอนที่ 4 เราทดสอบหลุมไปทำไม Introduction to well testing part 4
เอาล่ะ ไปอ่านเรื่องราวเป็นการเป็นงาน คำตอบจากกรมเชื้อเพลิงฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้กันครับ
Waste management
การกำจัดกากของเสียอันตรายจากการเจาะหลุมฯ
22. การกำจัดกากของเสียอันตรายจากการเจาะหลุมสำรวจปิโตรเลียม
ตัวอย่างเช่น เศษหินเศษดิน และ กากน้ำโคลนฯ รัฐจะมีวิธีการกำจัดอย่างไร ที่จะสร้างความเชื่อมั่นของชุมชนรอบพื้นที่เจาะหลุมว่ามีความปลอดภัยเพียงพอ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
1. กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีแนวนโยบายและการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดในการป้องกันปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการ ดังนี้
1) นโยบายของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
1.1) โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมใดๆ ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้วจึงจะดำเนินการได้
1.2) โครงการผลิตปิโตรเลียมที่อยู่ในเขต 12 ไมล์ทะเล (1 ไมล์ทะเล = 1.85 กิโลเมตร) นับจากชายฝั่ง จะต้องไม่ปล่อยเศษหินจากการเจาะ และน้ำจากกระบวนการผลิตลงทะเลโดยตรง
1.3) ให้โครงการผลิตปิโตรเลียมในทะเลทั้งหมดอัดกลับน้ำจากกระบวนการผลิตลงชั้นกักเก็บ
1.4) ส่งเสริมการลดปริมาณก๊าซเผาทิ้งจากโครงการผลิตปิโตรเลียม โดยนำมาใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้ในโครงการ ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตการเกษตรเพื่อทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม และใช้ผลิตก๊าซ LNG
1.5) ให้มีการติดตามเฝ้าระวังผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตและบริษัทผู้รับสัมปทานต้องส่งรายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมาผลการตรวจติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
1.6) กิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ต้องดำเนินการโดยมีมาตรการและแผนงานในทุกขั้นตอนให้มีความปลอดภัยสูงสุดตามกฎหมายปิโตรเลียม และ
มาตรฐานสากล ในการเจาะหลุมปิโตรเลียม
กฎกระทรวงกำหนดให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการพลุ่งของปิโตรเลียม หรือ BOP (Blowout Preventer) ซึ่งมีวาล์วนิรภัยถึง 3 ชั้น และ ในหลุมผลิตจะต้องติดตั้งวาล์วนิรภัยภายในทุกหลุม เพื่อป้องกันและควบคุมความดันและปิดหลุมโดยอัตโนมัติหากมีเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของบริษัทผู้ดำเนินงานอยู่ประจำ และ มีการตรวจสอบและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
1.7) บริษัทผู้ดำเนินงานจะต้องมีแผนรองรับเพื่อแก้ไข และเผชิญเหตุต่างๆ และ มีการทบทวนซักซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยมีเครื่องมืออุปกรณ์เผชิญเหตุรั่วไหลของน้ำมันในทะเลไว้ที่แท่นเจาะ หรือแท่นผลิต
2) การกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
2.1) กำกับดูแลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ให้เป็นไปตามมาตรการที่ระบุไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการเห็นชอบและมาตรฐานสากล ได้แก่
- 2.1.1) การจัดการเศษหินจากการเจาะหลุมสำรวจและผลิต
- 2.1.2) การจัดการน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิต
- 2.1.3) การจัดการของเสียอันตราย
- 2.1.4) การรับมือต่อภาวะฉุกเฉิน
- 2.1.5) รายงานผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
2.2) บริษัทผู้รับสัมปทานต้องส่งรายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมาผลการตรวจติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
2.3) โครงการตรวจเฝ้าระวังปริมาณสารปรอทในอ่าวไทย เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนปัจจุบัน โดยว่าจ้างภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาปริมาณปรอทในเนื้อเยื่อปลาหน้าดินบริเวณแท่นผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ผลการศึกษาพบว่ามีค่าเฉลี่ยไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด คือ ไม่เกิน 0.5 ไมโครกรัมต่อกรัม
2.4) ร่วมกับสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อกำหนดเรื่อง “การทดสอบความเป็นพิษโดยรวมของน้ำที่ได้จากการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย” เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินผลกระทบเฉียบพลันต่อสัตว์น้ำในอ่าวไทยที่เกิดจากน้ำจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียม
2.5) จัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการปิโตรเลียม เพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบและประเมินสภาพสิ่งแวดล้อมและใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษา และ เผยแพร่แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
(ความเห็นส่วนตัวผมนะครับ ธุรกิจของพวกเราเรียกว่าเป็นธุรกิจผู้ต้องหาของสังคมก็ว่าได้ สมัยหนึ่งที่สื่อต่างๆยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ความเป็นสีเทาๆก็มีอยู่เป็นหย่อมๆในอุตสากรรมของเรา แต่วันนี้นะเหรอครับ บนแท่นฯยังมีเน็ทมีเฟสบุ๊ค จะเหลือเหรอครับ ถ้าทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง แอบถ่ายใต้เตียงดาราที่มีข่าวกันโครมๆรายวันยังยากกว่ามาตรวจสอบการทำงานของพวกเราเลยครับ … 🙂 )
ที่มา http://www.dmf.go.th/