Study … เรียนอะไรไม่ตกงาน (หรือหางานทำไม่ได้ ไม่มีใครจ้าง) – เป็นบทความสั้นๆปลายปี พ.ศ. 2559 ในมติชนครับ ผมก็ว่าจริว และ ค่อนข้างเห็นด้วย แม้คุณนิธินันท์ ยอแสงรัตน์ เอามาเพิ่มเติมความเห็นอย่างดุดันไปนิดหนึ่ง
แต่ถ้าถอดเอาความดุดันออกไป ก็มีความเป็นจริงที่น่าพิจารณา โดยเฉพาะในอีก 3 ปี ถัดมาจนถึงพ.ศ.นี้ (พ.ศ. 2563) ที่โควิดกำลังถล่มเรา
ในที่สุดแล้วก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริงของเราที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้จริงๆด้วยตัวเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน ในยามอับจน ในยามที่ต้องใช้เปลี่ยนความสามารถเหล่านี้เป็นเงินเลี้ยงชีพได้ ไม่ว่าเราจะมีปริญญาหรือไม่ก็ตาม
ว่างๆลองเอากระดาษ เอ 4 ออกมาสักแผ่น เขียนลงไปว่าเราทำอะไรได้บ้างที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงิน เช่น
- ทำบัญชี หรือ ตรวจสอบบัญชี ได้มีใบอนุญาติ
- ขับรถสาธารณะได้ มีใบอนุญาติ
- ทำงานเชื่อมได้
- ซ่อมรถยนต์ได้
- ทำอาหารได้
- ฯลฯ
ถ้าคุณทำได้จริงๆ ถึงคุณจะมีปริญญากี่ใบ ผมก็ว่าคุณก็เป็นช่างมืออาชีพ อยู่สายอาชีพ เหมือนกัน จริงป่ะ
อ่ะ ทำใจร่มๆ ไปอ่านต้นฉบับกัน …
Study
เรียนอะไรไม่ตกงาน (หรือหางานทำไม่ได้ ไม่มีใครจ้าง)
โดยคุณ … นิธินันท์ ยอแสงรัตน์
ที่มา … http://www.matichon.co.th/news/401192
คุณธนิตแนะว่า ถ้าไม่อยากตกงาน ให้หันไปเรียนสายอาชีพระดับ ป.ว.ช. และ ป.ว.ส. หรือประเภทช่างต่างๆ
สนับสนุนแนวคิดคุณธนิตเต็มๆ แม้จะเห็นอยู่ว่า หลายทศวรรษแล้วที่บัณฑิตสายสังคมศาสตร์ได้ชื่อว่าตกงานเป็นประจำสม่ำเสมอโดยเฉพาะถ้าคิดจะหางานให้ตรงกับวิชาที่เรียนจบมา
“ปริญญาตรี” ถือว่า “กระจอกงอกง่อยมาก”
แม้ไม่ได้ทำงานสายวิชาการหรือไม่ใช่คนรักการเรียนรู้อย่างจริงจัง คนไทยหลายคนก็จำต้องหาทางเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก เพื่อยกระดับสถานะทางสังคม เงินเดือน และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าไม่นับคนที่เรียนจริงในหลักสูตรปริญญาโท/เอกที่เน้นความรู้ทางวิชาการจริง กล่าวได้ว่า หลายคนที่มีเงินมักนิยมไปชุบตัวใน “บ่อทอง” อันได้แก่ไปเรียนมหาวิทยาลัยสักแห่งในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศทางยุโรปที่คนไทยรักชาติมักบอกว่ามันเป็นประเทศทุนสามานย์อันชั่วช้า …
ส่วนคนเงินน้อยก็เรียนหลักสูตรปริญญาโท-เอกแบบรวบรัดที่เกิดขึ้นเกลื่อนเมือง เข้าง่ายออกง่าย ได้ปริญญา ดอกตอร์ปริญญาหลายใบ และ ดอกเตอร์ปลอม โดยฉพาะสายสังคมศาสตร์ (ซึ่งหากเรียนเล่นๆ พอใหได้ใบปริญญา ไม่ใช่เพื่อความรู้ ย่อมง่ายกว่า และ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าสายวิทยศสตร์ แถมจะง่ายกว่าสายอาชีพอีกต่างหาก)
จึงมีให้เห็นทั่วไปในสังคมไทย แม้หลายคนในบรรรดาด๊อกเตอร์เหล่านี้ จะสมควรกลับไปเรียนตรรกศาสตร์เบื้องตัน ก่อนจะพูดออกสื่อทุกเรื่องทั้งๆที่ไม่รู้ก็ตาม
โดยสรุปคือ บัณฑิตสายสังคมศาสตร์ตกงานไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่ใหม่ และ ควรเป็นแนวโน้มใหม่ในสังคมไทยคือการหันมายอมรับคุณค่าของการเรียนและความรู้สายอาชีพ ซึ่งหลายประเทศอารยะทั่วโลกให้ความสำคัญกันมานานแล้ว
วิธีคิดแบบเดิมในสังคมไทย ว่าเรียนสายอาชีพไม่เก่ง เรียนสูงๆ ระดับปริญญาเพื่อไปเป็นเจ้าคนนายคน แล้วใช้คนอื่น “ออกแรง” ทำงานตามคำสั่งเรานั้น ไม่สอดดล้องกับความเป็นไปในปัจจุบัน
สำนักงานขนาตใหญ่ที่มีลูกจ้างนับพันทำงานในอาคารแยกกันเป็นเรื่องของโลกเก่า โลกใหม่ มี “นาโนออฟฟิศ ขนาดเล็กมาก ซึ่งปัจเจกแต่ละคนสามารถนั่งทำงานที่ใหนก็ได้แม้ในห้องนอนผ่านระบบออนไลน์ ต่างความสามารถเฉพาะทาง และ มีสัมมาอาชีวะของตน แต่สามารถจับมือกันผลักดันงานบางอย่างร่วมกัน เพื่อสร้างรายได้ และ ผลประโชน์ร่วมกันในฐานะหุ้นส่วน มิใช่ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างที่ลูกจ้างต้อง “พึ่งพา” นายจ้าง
“ช่าง” เป็นงานที่แสดงให้เห็นความสามารถฉพาะตนของปัจเจก ไม่ใช่ทุกคนสามารถเป็นช่าง และ อาชีพ “ช่าง” ไม่เคยตกงาน ช่างยุคใหม่เสนองานของตนผ่านโลกออนไลน์ ว่าจ้าง และ รับงานกันทางออนไลน์
งานช่างฝีมือไม่ใช่งานต่ำต้อยของคนที่เริยนหนังสือไม่เก่ง ตามหลักพหุปัญญาของ โฮเวิร์ต การ์ดเนอร์ ช่างที่เก่งฯ ต้องมีความสมารถอย่างน้อย 5 ด้าน จาก 8 ด้าน คือ ต้นสังคม และ ปฏิสัมพันธ์ ด้านร่างกาย และ การเคลื่อนไหว ด้านตรรถศาสตร์ และ คณิตศสตร์ ด้านธรรมชาติ ไปจนถึงด้านการมองเห็น / มิติสัมพันธ์
ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองทั่วโลก การรู้จักทำมาหากินด้วย “สัมมาอาชีวะ” ของตน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และ ปริญญาโดยเฉพาะปริญญา ไม่ใช่เครื่องหมายรับรองความสามารถประเภทนี้ ยิ่งหากเป็นบัณฑิตสายสังคมศาสตร์ผู้เรียนจบมาแบบงงๆ ยอมเชื่อฟังคำล่อลวงของผู้มีอำนาจรุ่นเก่าที่หลอกว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อยอมจำนน และ เป็นทาสเผด็จการเสมอ
เรียน ป.ว.ช. ป.วส. แล้วมีความรู้ความสามารถด้านช่างติดตัวไปประกอบสัมมาอาชีวะได้ ย่อมดีกว่าเรียนปริญญาแบบงงๆ ไม่รู้อะไรสักเรื่อง