Geologist vs Drilling Engineer คู่รักอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล – คิดอะไรไม่ออก ชวนคุยเรื่องคลาสิคของวงการเราดีกว่า
ออกตัวก่อนว่า ผมคุยให้ฟังจากมุมมองของวิศวกรหลุมเจาะที่พยายายามเข้าใจเพื่อนร่วมอาชีพ(อันเป็นที่รัก) และ พยายามจะให้ความไม่ยุติธรรม เอ๊ย ยุติธรรมอย่างที่สุด 555 🙂
Geologist vs Drilling Engineer
คู่รักอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล
นักธรณีปิโตรเลียม (Petroleum Geologist)
โดยศาสตร์ของวิชาชีพนั้น ธรณีวิทยาได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง
ในความเข้าใจของผมธรณีวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยจิตนาการของมนุษย์เป็นส่วนผสมค่อนข้างสูงในการศึกษาหาข้อสรุป
เพราะเป็นการมองลึกเข้าไปในอดีตที่มองไม่เห็นทั้งในเชิงเวลา และ เชิงความลึกของชั้นหิน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่เห็นในปัจจุบัน
จะเห็นว่าธรณีวิทยาแอบมีความเป็นอาชญวิทยา นิติวิทยา (Forensic Science) และ นักสืบ เจือๆปนอยู่พอสมควร
กล่าวคือ ใช้หลักฐานที่เห็นในปัจจุบัน + สมมติฐานจากจินตนาการ ประสบการณ์ + วิทยาศาสตร์ แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
อาจจะต่างกับนักสืบนิดเดียวตรง “เส้นระยะเวลา” นักสืบ หรือ นิติวิทยากร สืบย้อนกันในหลักไม่กี่สิบปี แต่นักธรณีวิทยาสืบย้อน และ สรุปเรื่องราวในหลักหลายสิบถึงหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมาแล้ว
อาจจะกล่าวได้ว่า ธรณีวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาหนึ่ง
ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากวิทยาศาสตร์ดั่งเดิมอย่าง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่สังเกตุ ตั้งสมมุติฐาน และ ทดสอบสมมติฐานจากสิ่งที่เป็นปัจจุบัน แล้วนำไปสู่บทสรุปที่เป็นทฤษฎีที่ใช้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
แต่ธรณีวิทยา จะเน้นไปที่การอธิบายปัจจุบัน(ที่มองไม่เห็นใต้ธรณี) อันเนื่องมาจากอดีต ด้วยหลักฐานที่เห็นได้วัดได้ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุทั้งหมดที่ผมร่ายยาวมา ทำให้เกิดสิ่งที่ผมเห็นได้เป็นประจำเวลามีนักธรณีปิโตรเลียมเก่งๆหลายคนศึกษาข้อมูลเดียวกัน แต่ได้ข้อสรุปที่ต่างกัน (บางทีก็ต่างกันแบบฟ้ากับเหว)
ซึ่งทำให้ขัดใจนักนิยมวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์คำตอบเดียวแบบผมเป็นยิ่ง 555 🙂
แต่นั้นแหละ เพื่อนๆนักธรณีมักจะอธิบายปรากฏการณ์ข้อสรุปที่แตกต่างจากข้อมูลชุดเดียวกันว่าเป็นความงดงามทางวิชาการ
ซึ่งผมก็ยอมรับว่าจริงในระดับหนึ่งในทุกๆศาสตร์ แต่ก็ไม่ควรจะเยอะ และ บ่อยมาก โดยเฉพาะถ้าเรากำลังคุยกันในบริบทวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่นำมาใช้งานจริง
(ไม่นับพวก วิทยาศาสตร์ทฤษฎีที่มีความเห็นแย้งกันเยอะมาก แต่ไม่ได้เอามาใช้งานจริง คือ เถียงกันบนกระดาษนั่นแหละ แต่ถ้าเมื่อไรต้องเอามาใช้งานจริง ไม่ควรจะมีบทสรุปที่แตกต่างกันถ้าใช้ข้อมูลฐานเดียวกัน)
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะอย่างที่เกริ่นในตอนต้น ธรณีศาสตร์นอกจากจะอาศัยการสังเกตุแบบวิทยาศาสตร์ทั่วไปแล้วยังอาศัยจินตนาการเป็นส่วนผสมค่อนข้างเยอะ
ไอสไตน์สนับสนุนนักธรณีนะครับ เพราะตะแกบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ 555 🙂
ที่ผมต้องอธิบายละเอียดตรงนี้ก็เพราะธรรมชาติของศาสตร์มีส่วนอย่างมากในการอธิบายลักษณะของทัศนคติ แนวคิด ของคนที่ทำงานโดยใช้ศาสตร์นั้นๆ
ดังนั้นโดยส่วนใหญ่ นักธรณีจะมองโลกในแง่ดี ชอบมีข้อมูลเยอะๆ และ โอบกอดความไม่แน่นอนของบทสรุปแล้วหลับได้อย่างฝันดี
เพราะเมื่อบทสรุปได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ใช่อย่างที่เคยสรุปไว้ ก็สามารถยกเหตุผล และ ความไม่แน่นอนของสมมุติฐานที่เก็บไว้ในลิ้นชักออกมาอธิบายได้
ซึ่งผมมองว่าไม่ได้เป้นข้อเสีย หรือ ผิดอะไร ก็อย่างที่บอกครับ ศาสตร์มันเป็นอย่างนั้นผู้ที่ศึกษามาทำงานก็ต้องมีลักษณะนั้นๆ (เหมือนคนจบโรงเรียนทหารก็จะมี “ลักษณะท่าทาง พฤติกรรม และ ความคิด” แบบทหารๆ)
เป้าหมายของนักธรณีปิโตรเลียมก็คือหาแหล่งกักเก็บที่มีศักยภาพที่จะมีปิโตรเลียมให้ได้เยอะที่สุด
วิศวกรหลุมเจาะ
ผมแบ่งงานวิศวกรทุกสาขาออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ออกแบบ ลงมือสร้าง ซ่อมแซม และ รื้อถอน
วิศวกรหลุมเจาะ ก็คือวิศวกรก่อสร้างประเภทหนึ่งที่ทำทั้ง 4 กลุ่มงาน
โดยเราจะรับโจทย์มาว่าจะสร้างอะไร เพื่ออะไร เช่น สร้างบ้านเอื้ออาทรให้รากหญ้าที่โดนบังคับให้มาอยู่ หรือ สร้างบ้านเดี่ยว 30 ล้านให้เศรษฐีมาเลือกซื้อ(หรือไม่ซื้อ)
คนที่ให้โจทย์วิศวกรหลุมเจาะมาก็คือนักธรณี ขุดตรงไหน ขุดไปถึงไหน ต้องผ่านตรงไหน ห้ามผ่านตรงไหน ลึกไปเท่าไร ขุดไปทำไม ฯลฯ
เป้าหลักที่บอกว่าวิศวกรหลุมเจาะประสบความสำเร็จ คือ …
- ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ชื่อเสียงทรัพย์สินบริษัทฯเจ้านายไม่เสียหายไหม้เป็นจุล สิ่งแวดล้อม และ สังคมของพื้นที่ๆที่เราขุดไม่เสียหาย ไม่เดือดร้อน
- ตอบโจทย์ที่นักธรณีให้มา และ
- ใช้เงิน และ เวลา ตามเป้าที่กำหนดไว้
เพราะวิศวกรรม คือ วิศวกรรม เราอยู่ในโลกความเป็นจริงที่จับต้องได้ เช่น ซื้อของมาใช้ก่อสร้าง 100 บาท เอาไปใช้ 80 บาท ทิ้ง 20 บาท แปลว่า ประสิทธิ์ภาพเชิงการใช้เงินให้คุ้มคือ 80%
เหมือนกับวิศวกรที่สร้างถนนเข้าไปในป่าที่ยังไม่ได้สำรวจ หรือ ส่งจรวดไปในอวกาศที่ยังไม่มีใครไปถึง กล่าวคือ ทุก 1 เมตร ที่เราขุดลึกลงไป มาพร้อมค่าใช้จ่าย และ ความเสี่ยง
There Ain’t No Such Thing as a Free Lunch
TANSTAAFL
ถึงเราจะแปลกๆจากกันแต่เราก็รักกันดี๊ดี
เหมือนกับหลายๆวงการอาชีพการงานที่คนหนึ่งตั้งโจทย์ให้อีกคนหนึ่งทำ โดยที่คนตั้งโจทย์กับคนทำมีเป้าหมายที่บ่งชี้ความสำเร็จไม่เหมือนกัน
“ลึกอีกนิดนะพี่นก ขออีกหน่อยนะพี่นก เอาตรงนี้นะ ห้ามหลุดขอบนี้นะค่ะ พี่นกกกกก”
ประโยคแบบนี้วิศวกรหลุมเจาะเราจะได้ยินออดอ้อนมาจากสาวๆ(และหนุ่มๆ)น้องๆนักธรณีเป็นประจำ
ถ้าอยู่ในงบเวลา งบเงิน และ งบความเสี่ยง พี่นกก็จัดให้อยู่แล้ว ทนเสียงออดอ้อนได้ไม่นานหรอกวิศวกรใจอ่อนอย่างผม
เรื่องเงินเรื่องเวลายังพอคุยกันได้ แต่ถ้าปริ่มๆจะเสี่ยง ก็ต้องมาคุยกันล่ะ
เรื่องความเสี่ยงนี้เรายอมกันไม่ได้ ถึงขั้นหมดอนาคต ติดคุกติดตารางกันง่ายๆ (ดูอย่างตึกถล่มที่โคราชนั่นเป็นไง วิศวกรยังติดคุกเลย)
เพื่อให้การทำงานมีความราบรื่นมีสามัคคีธรรม
ขุดไปตามงบตามเวลาไม่เสี่ยง ได้หลุมมา แต่ไม่เจออะไร ผลิตได้มาจิ๊ดเดียวเท่าเยี่ยวแมว ขุดไปทำไม
กับ
ขุดต่ออีก 2 เมตร เสียไป 3 ล้าน ผลิตได้เพิ่มเท่าฉี่หนู หรือ ไม่เจอแมวอะไร จะเอาอีก 2 เมตรไปทำพรือ
เรามักจะได้ยินอะไรทำนองๆ 2 ประโยคข้างบนนี้เสมอเวลานักธรณี และ วิศวกรหลุมเจาะมานั่งคุยกัน (ไม่ต่างกับเวลานักการตลาดคุย กับ ทีมโรงงานผลิต หรือ นักบัญชี 555)
นักธรณี(เหมือนกักการตลาด) มีความหวังในอนาคตอยู่เสมอ แต่ วิศวกรหลุมเจาะจ่ายเงินค่าขุดหลุมวันนี้ในโลกความเป็นจริง และ โดนด่าถ้าเกิดอุบัติเหตุ
ไม่มีใครผิด ถูกทั้งคู่
เพื่อให้เกิดความราบรื่นมีสามัคคีกันในการทำงาน ฝ่ายบิหารจัดการจำเป็นต้องประดิศฐ์ตัวชี้วัดร่วมกันที่เป็นธรรม
ตัวชี้วัดที่ว่านั่นหลายบ.ก็ออกแบบคิดค้นมาแตกต่างกัน ขึ้นกับขอบเขตความรับผิดชอบงานของนักธรณี และ วิศวกรหลุมเจาะของบ.นั้นที่แม้หลักๆจะเหมือนกันกับบ.ทั่วๆไป แต่ก็มีบางประเด็นที่ปลีกย่อย
ดังนั้นตัวชี้วัดจะต้องสะท้อนความปลีกย่อยนั้นๆ ไม่ใช่ว่าชะโงกไปก๊อปปี้บ.ข้างๆมาแล้วโมเมเอามาใช้ โดยไม่ดูว่า คนของเรากับของเขา ขอบเขตความรับผิดชอบไม่เหมือนกัน
สูตรพื้นฐานของตัวชี้วัด คือ
ผลได้/รายจ่าย
ทุกๆชิ้นของผลได้ ต้องแบกรับทุกบาทของค่าใช้จ่าย
ยกตัวอย่าง เช่น …
ถ้านักธรณีบ.เรามีความรับผิดชอบแค่หา(และพิสูจน์)ปริมาณ OGIP (Oil Gas In Place คือ นับเท่าที่อยู่ใต้ดิน) “ผลได้” ในสมการตัวชี้วัดก็ความเป็น OGIP ไม่ใช่ Production ที่ผลิตออกมาได้
เพราะปิโตรเลียมที่ผลิตได้นั้นมันขึ้นกับตัวแปลอื่นที่นักธรณีไปทำอะไรไม่ได้ เช่น Recovery Factor (RF) และ เทคนิคการผลิต (Production technology) เป็นต้น
ส่วนฝั่งเราวิศวกรหลุมเจาะ ที่ต้องรับผิดชอบก็คือ ค่าหลุม (เวลาเป็นส่วนหนึ่งของค่าหลุมแล้ว) และ ความปลอดภัยต่อทุกภาคส่วน
ดังนั้นตัวชี้วัดที่สนามฉันท์ (ตามตัวอย่างนี้) คือ
ความปลอดภัย และ OGIP/ค่าหลุม
คราวนี้ล่ะ …
ถ้าน้องๆนักธรณีจะขอต่ออีก 10 เมตร เผื่อจะเจอ OGIP ที่น้องๆคาดหวัง พี่นกก็จะบอกว่า อีก 10 เมตร เนี้ย (สมมุติ)เมตรล่ะ 5 หมื่นเหรียญนะ ยิ่งลึกต้นทุนส่วนเพิ่มต่อเมตร (incremental unit cost) ยิ่งมาก เพราะเจาะช้าหินแข็ง บลาๆ
10 เมตร ก็อีก 5 แสนเหรียญ โอเคป่ะ
หรือ น้องอยากได้ตัวอย่างของไหล ขอเอาเครื่องมือลงไปเก็บ ใช้เวลา 6 ชั่วโมง พี่นกก็จะบอกว่า ค่าโสหุ้ยแท่นเจาะ (spread cost) ชม.ล่ะ แสนเหรียญ 6 ชม. ก็ 6 แสนเหรียญนะ … โอป่ะ …
ถ้าเจอ OGIP หรือ ตัวอย่างที่เก็บได้ คุ้ม 5 หรือ 6 แสน ป่ะ
ถ้าไม่เจอ หวืดนะจ๊ะคนสวย หรือ ตัวอย่างของไหลที่เก็บขึ้นมาก็ไม่ได้ช่วยให้ไปหา OGIP เพิ่ม
คุยกับพี่ๆหัวหน้าน้อง หรือ ยังก่อนมาขอพี่เพิ่ม 10 เมตร หรือ ขอเก็บตัวอย่างอีก 6 ชม. เดี๋ยวจะเสีย KPI (Key Performance Index) กันทั้งคู่
ในขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต้องต่างดูปัจจัยของฝ่ายตัวเองอย่างถี่ถ้วน
ไม่ใช่ว่าพอเป็นดัชนีร่วมแล้วผลักภาระไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง
เช่น วิศวกรหลุมเจาะ ใช้ของแพง หรือ เทคนิคที่แพง(กว่าที่ควร ไม่พยายามหาวิธีต่อราคา หรือ ทางเลือกอื่นที่ได้ผลเหมือนกันแต่ถูกเงินกว่า) หรือ นักธรณี คิดไม่รอบคอบ ใช้เทคนิคหรือซอฟแวร์ที่ไม่มีความละเอียดแม่นยำที่พอเพียง (แต่ทำงานง่ายดี) กับงาน ทำให้ไม่มีความแม่นยำเป็นวิทยาศาสตร์ที่พอเพียง
เราต้องมีความเป็นมืออาชีพ (Trust Respect and Integrity) ในศาสตร์ของเราในระดับหนึ่งทีเดียวที่จะมาใช้ดัชนีร่วม เพราะส่วนหนึ่งของดัชนีร่วม อีกฝ่ายเขาไม่มีความรู้ความสามารถที่จะมาตรวจสอบเราได้ แต่เขาก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน
สรุป คือ ม. 33 เรารักกัน
เอ๊ย ไม่เกี่ยว สรุป คือ
เรารักกันดีครับ จะจิกกัดกันบ้างในงานในวงเหล้าก็พอหอมปากหอมคอ จะทุบโต๊ะปึงปังปั้นปึ่งบ้างก็เพื่อผลงานของทุกฝ่ายที่จะให้ได้ออกมาดีที่สุด
สุดท้ายอยากจะบอกว่า เราขาดกันไม่ได้ ขายแพ็คคู่ไปไหนไปกัน รักนะ จุ๊บๆ … 🙂

