ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ

(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)

https://raka.is/r/qlzXR https://raka.is/r/gP7GV

ขั้นตอนการรับสมัคร Wireline field engineer (รุ่นไดโนเสาร์) SLB

ขั้นตอนการรับสมัคร Wireline field engineer (รุ่นไดโนเสาร์) ของ Schlumberger ผมชักชวนกันให้เล่าประสบการณ์การสอบสัมภาษณ์มาแบ่งปันกันมานาน แต่ลืมไปว่า อ้าว แล้วประสบการณ์ของตัวเองล่ะ …

อิ อิ ลืมเล่าของตัวเอง วันนี้ก็เลยจะมาเล่าให้ฟัง แต่บอกก่อนนะว่ามันนานนนมากกกก (ก.ไก่หลายๆตัว) มาแล้ว อาจจะเอามาใช้อะไรไม่ได้ในพ.ศ.นี้ แต่ถือว่าเรียนประวัติศาสตร์ก็แล้วกันครับ

บ.นี้เขามีวิวัฒนาการในขบวนการคัดสรรบุคคลากรตลอดเวลาครับ ในส่วนของวิศวกรบ.จะมีวิศวกรอาวุโสอีกคนหนึ่งต่างหากที่รับผิดชอบเรื่องนี้ เขาเรียกว่า recruiting manager หรือ recruiter ส่วน HR เป็น facilitator คืออำนวยความสะดวกเท่านั้น

สำหรับตำแหน่งๆอื่นๆ เช่น บ/ช พนักงานทั่วๆไป HR จะเป็นคนรับผิดชอบจัดหา

ขั้นตอนการรับสมัคร

Wireline field engineer (รุ่นไดโนเสาร์) ของ Schlumberger

ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล

อารัมภบทมาพอแล้ว เข้าเรื่องเสียที กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในยุคที่ยังไม่มี internet และ PowerPoint …. (ฮ่า)

ปีที่ผมจบคือปีพ.ศ. 2532 เบื้องต้น ขั้นตอนการรับสมัคร ก็กระบวนการพื้นๆ คือ สอบข้อเขียนของบ. เป็นข้อเขียนที่ออกโดยวิศวกรของบ.เอง แน่นอนเป็นภาษาอังกฤษ จำไม่ได้แล้วครับว่ามีกี่ข้อ และ ถามอะไรบ้าง จากนั้นใครผ่านก็โดนสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษล้วน โดย recruiting manager ซึ่งไม่ใช่คนไทย recruiting manager ของผมเป็นคนอินโดฯ จำได้ว่าเมื่อยมือมาก ฮ่าๆ …

ไปออสเตรเลีย

ผมก็ผ่านสองขั้นนี้มาตามครรลอง แต่มาติดที่ภาษาอังกฤษของผมตอนนั้นมันห่วยขั้นเทพ จึงไม่สามารถผ่านขั้นตอนต่อไปของบ.ได้ จึงต้องไปจัดการปรับปรุงภาษาเสียก่อน ตอนแรกผมก็นึกว่าบ.คงให้ผมไปเรียนภาษาตามศูนย์ภาษา หรือ เอยูเอ

ที่ไหนได้ บ.จับผมยัดใส่โบอิ้ง 747 ไปออสเตรเลียครับ ไปอยู่กับครอบครัวที่บ.จ้างเอาไว้ให้ดูแลพวกเรา กลางวันก็มีวิศวกรชาวอังกฤษที่เกษียณไปแล้วมาสอนภาษาฯให้

-------------------------------------------------------

ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ

กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น

จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ … อ้อ … อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น แล้วอย่าลืม mark as not junk or spam ด้วยนะครับ เวลาส่งเตือนคราวหน้า จะได้ไปอยู่ใน in box :)

มีเรื่องเล่าตอนเดินทางไปออสเตรเลียหนแรกนิดหน่อย =>เรื่องเก่าๆสมัย go inter หนแรกๆ – Australia trip

ขั้นตอนการรับสมัคร
ติ่งๆล่างสุดทวีปนั่นแหละครับ เมือง Sales

รวมเสร็จสรรพผมอยู่กับครอบครัวนั้นในเมืองเล็กๆที่ชื่อ Sale (อยู่ติ่งใต้สุดๆของรัฐวิตอเรีย ตรงที่หมุดปักในรูปข้างบนน่ะครับ) 2 เดือนเต็ม ฟรีทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าแท็กซี่ไปสนามบินเลยครับ แถมมีเบี้ยเลี้ยงจ้างให้เรียนอีกต่างหาก ไม่มากมายอะไร แต่ด้วยเงื่อนไขง่ายๆคือ กลับมาต้องพูดและสื่อสารให้ได้ ถ้าพูดและสื่อสารไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำงาน (แต่ก็ไม่ถึงกับต้องชดใช้ค่าใช้จ่าย)

เอาว่าผมก็ดันทุรังจากเด็กไทยระดับภาษาอังกฤษหลักสูตรกระทรวงธรรมการประเทศสารขัณฑ์จนกลับมาพูดได้สื่อสารได้ เป็นอันผ่านหลักสูตรเรียนภาษาฟรีมาได้อย่างเฉียดฉิว

กลับมาพิษณุโลก

จากนั้นก็ไปเข้า preschool ซึ่งคล้ายๆกับสมัยนี้ที่เรียกว่า field exposure แต่นานกว่า field exposure คือ 1 เดือน ในขณะที่ field exposure เท่าที่ฟังน้องๆเล่า จะราวๆ 2 – 3 สัปดาห์

ผมโดนส่งไป preschool ที่ฐานของบ.ที่พิษณุโลก ทำอะไรบ้าง อืม … ไปเป็นเบ้ครับ งานใช้กำลังทุกประเภท ตั้งแต่เทขยะ ชงกาแฟให้วิศวกร ให้ช่างเทคนิค แบกหามอุปกรณ์ ล้างเครื่องมือต่างๆ ตื่นคนแรกนอนคนสุดท้าย (ถ้าได้นอนนะครับ)

ตอนจะออกไป preschool คนที่เป็น recruiting manager บอกชัดเจนว่า จุดประสงค์ ไม่ได้ต้องการให้ผมไปเรียนรู้อะไรเรื่องงานเรื่องเครื่องมืออะไรทั้งนั้น ต้องการให้ผมไปเหนื่อยหนักลำบากทางร่างกายและจิตใจ(โดนด่าโดนจิกใช้ ฯลฯ) เพื่อจะได้รู้จักชีวิต “งานสนาม” 1 เดือนเต็มๆ

ผ่านไป 1 เดือน ผมรอดกลับมาสัมภาษณ์กับ recruiting manager คนเดิมที่กรุงเทพ สัมภาษณ์เร็วมาก เพราะแกถามคำเดียว Are you OK with the fcuking life in the shit hole like that? (ขอไม่แปลนะครับ) ผมตอบว่า Yes I am OK. แกก็บอกว่า งั้นไปหาเลขาฯ ไปเอาตั๋วเครื่องบินไปเมืองเมดาน อินโดเนเซีย

ต่อที่ เมดาน (มันอยู่ไหนหว่า)

ไปเข้าหลักสูตร mini evaluation course 10 วัน ผมก็เอ๋อเลย นึกว่าจะได้เข้า wireline school แล้วไอ้ mini evaluation course 10 วัน คืออะไร เมืองเมดานมันอยู่ไหน ไปยังไง จำได้ว่ามึนตึ๊บ …

มันอยู่ตรงนี้ครับ

mini evaluation course คือหลักสูตรคัดกรองคนของบ.ครับ มีคนเข้าหลักสูตรทั้งหมด 16 คน (รวมผม) แล้วคัดออกให้เหลือ 12 คน

หลักคิดของบ.ตอนนั้นคือ 16 คนนี้คัดมาแล้วจากข้อเขียน สัมภาษณ์ และ preschool (ถ้าให้อ่านหนังสือมันก็คงสอบกันผ่านทุกคน) แต่ไม่รู้ว่าความสามารถในการเรียนรู้ของใหม่และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางเทคนิคภายใต้ความกดดันเป็นอย่างไร บ.จึงจัดหลักสูตรนี้ขึ้นมา

ดูรูปเพลินๆว่ากลางคืนเป็นไง

ภารกิจของ 10 วัน(นรก) คือ 8 โมงเช้าถึงเที่ยง เรียนทฤษฎีเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือของบ. บ่ายหนึ่งถึงบ่ายสี่เรียนปฏิบัติจริงกับเรื่องไม้เครื่องมือที่เรียนมาตอนเช้า

หาบ้านให้น้องหน่อยครับ :)

ขาวจั๊วะ กอดได้ อิงได้ วางประดับได้

ปาหัวคนข้างๆก็ได้ (เวลาใช้ให้ไปล้างจานแล้วไม่ยอมไป)

https://raka.is/r/XBBPp

บ่ายสี่ครึ่งเริ่มสอบปฏิบัติที่ฝึกมาไปจนกว่าจะเสร็จกี่ทุ่มกี่ยามก็ช่าง ส่วนมากจะเสร็จราวๆ ทุ่มนึงถึงสามทุ่ม มีรถขน 16 คนกลับไปที่พัก ก็ไม่ไกลจากศูนย์ฝึกเท่าไร ราวๆ 20 นาทีเอง

อาบน้ำเสร็จ ก็จะมีทีมวิศวกรของบ.นั่นแหละ ราวๆ 3 – 8 คน แล้วแต่คืนไหนใครว่าง มาพาพวกเราทั้ง 16 คนออกไปลุยราตรีเมืองเมดานกัน กินเที่ยวดื่ม ไม่ยั้งเลยครับพี่น้อง จัดหนักจริงๆ กินกันจนอ้วก ทั้ง 10 คืน ไม่มีคืนไหนกลับถึงที่พักก่อนตีหนึ่งเลยครับ แบบว่าจงใจมากๆว่าไม่ให้กลับไปอ่านหนังสือหรือพักผ่อน

เช้ามาตื่น 6 โมงเช้า กินมื้อเช้าซึ่งส่วนมากกระเดือกกันไม่ค่อยลง เพราะยังเมาค้างกันอยู่ รถมารับเจ็ดโมง ถึงศูนย์เจ็ดโมงยี่สิบ ให้ซดชากาแฟกัน 10 นาที

หนังสือมือสองล๊อตใหม่มาแล้ว สนใจคลิ๊กลิงค์ข้างล่างเลยครับ

https://raka.is/r/PP61Q

เจ็ดโมงครึ่งถึงแปดโมงเริ่มสอบเก็บคะแนนทฤษฎีที่เรียนไปเมื่อวาน แปดโมงเช้า เรียนทฤษฎีของใหม่ต่อ วนอย่างนี้ครับ 10 วัน 10 คืน ไม่มีพักเสาร์อาทิตย์ จุดประสงค์หลักๆของหลักสูตรนี้คือจะดูความสามารถในการับรู้เข้าใจของใหม่ว่าใครจะเร็วกว่ากัน ใครเป็นขวดปากกว้าง ใครเป็นขวดปากแคบ

ไม่ได้วัดว่ามีน้ำในขวดเท่าไร แต่วัดว่าถ้าเทน้ำลงไปแล้ว ขวดไหนรับน้ำใหม่ได้ดีกว่ากัน ดังนั้น เขาจึงจัดหนักทุกคืน ไม่ให้อ่านหนังสือ ให้มึนแอลกอฮอล์ และให้นอนให้น้อยๆ ซึ่งผมมาเรียนรู้ทีหลังว่า นั่นมันใช่เลย ชีวิตจริงในสนาม แต่ที่ต่างคือในสนามไม่มีแอลกอฮอลให้มึน แต่จะมึนกาแฟและมึนโดนลูกค้ากดดัน และ โดนด่า

เอาคะแนนมารวมเรียงกัน 4 คนสุดท้ายได้ one way ticket home ครับ ที่เหลือ 12 คนที่ผ่าน ได้ไปต่อ training school

ผมได้ตั๋วไป training school ตอนนั้นมีศูนย์เปิดอยู่ 2 ศูนย์คือที่อเบอร์ดีน(สก๊อตแลนด์) กับ อเล็กซานเดรีย(อียิปต์) ทุกคนอยากไป อเบอร์ดีน เพราะมันใกล้ทะเลเหนือ เป็นแหล่งไฮเทคของวงการฯ

แต่ผมเป็นคนที่เกลียดความหนาวเข้ากระดูกดำ ผมเลยยกมืออาสาไป อเล็กซานเดรีย(อียิปต์) อยู่คนเดียว ซึ่งก็สมใจนึกบางลำพู ได้ตั๋วไปขี่อูฐล่องแม่น้ำไนล์ตามคาด

แต่เดี๋ยวก่อน อีกตั้งเดือนนึงกว่า school ที่อียิปต์จะเปิดรอบใหม่ อย่ากระนั้นเลย ไป preschool มันอีกรอบ ผมเลยกำไร ได้ preschool 2 รอบ

คราวนี้หวยออกที่บอมเบย์ (สมัยนี้เรียกมุมไบ) ประเทศอินเดียครับพี่น้อง

ไปเซ็นสัญญาที่ดูไบ

ดูไบ

แต่ก่อนไปบอมเบย์ ต้องไปเซ็นต์สัญญาที่ดูไบก่อน ก็เลยได้ตั๋วไปดูไบ อยู่ดูไบเซ็นต์สัญญา 3 วัน (รวมฟังบรรยายเกี่ยวกับบ.ด้วย) ในสมัยนั้น ดูไบไม่หรูหราราคาแพงแบบทุกวันนี้ สนามบินเล็กๆ ทั้งเมืองมีตึกที่สูงที่สุด 5 ชั้น คือ โรงแรมฮิลตันที่ผมไปพัก เมืองเล็ก และ แห้งแล้งมากๆ ตัวเมืองเล็กพอๆกับจังหวัดพิษณุโลกเลยครับ

อ่านรายละเอียดวันเซ็นต์สัญญาว่ามีอะไรกันบ้างได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

My Dubai in 1989 เมื่อแรกพบเธอ … ดูไบ

มา Pre school ที่ บอมเบย์

ขั้นตอนการรับสมัคร
มากินโรตีอยู้นี่เดือนนึง

บินกลับมาบอมเบย์ ที่นั่นเป็นฐานของ offshore ก็เลยได้ไป preschool offshore 1 เดือน เหนื่อยเช็ดเลยครับ อาศัยว่ายังหนุ่มยังแน่นเลยทนมาได้ ถ้าเป็น(แก่ๆอย่าง)ตอนนี้ นอนสลบไม่ตื่นไปแล้ว

ถึงอียิปต์จนได้

จากนั้นถึงได้ไป school ที่อเล็กซานเดรีย(อียิปต์) 4 เดือนครึ่ง เรียนทั้งทฤษฎี และ ปฏิบัติ แต่คราวนี้ไม่โหดเหมือน mini evaluation course ที่เมดาน

เรียน 5 วัน สอบ 1 วัน พัก 1 วัน (ครบ 7 วันพอดี) เช้าทฤษฎี บ่ายปฏิบัติ สอบสัปดาห์ล่ะหน ในรุ่นผมจำได้ว่ามี 16 คน แต่ 14 เชื้อชาติ หลากหลายมากเลยครับ กระเหรี่ยงไทยก็ผมคนเดียวนี่แหละ

ขั้นตอนการรับสมัคร
ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลยครับ

ใน school เราเรียนกันครบทุกเครื่องมือของ wireline ในสมัยนั้นเลยครับ โดยไม่แบ่งว่าเป็น open hole, case hole หรือ perforation เหมือนสมัยนี้ มันจึงใช้เวลาตั้ง 4 เดือนครึ่ง

ดังนั้นวิศวกรรุ่นไดโนเสาร์จึงค่อนข้างทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องบอกว่าทุกอย่างในสมัยนั้นมันง่าย และ ไม่ซับซ้อนหลากหลายเท่าเครื่องมือสมัยนี้ ถ้าให้สมัยนี้มาเรียนกันให้ครบหมดแบบสมัยผมคงต้องเรียนกันเป็นปี ไม่ต้องทำงานกันพอดี นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ในสมัยนี้บ.แบ่งวิศวกรสนามออกเป็นหลายๆกลุ่มงาน

เอาว่าผมก็รอด school 4 เดือนครึ่งมาได้ (มีไม่ผ่านอยู่ 2 คนครับ) ขออวดหน่อยว่า คะแนนรวมทฤษฎีของผมตลอดหลักสูตรได้ที่สองเชียวนะครับ ส่วนคะแนนปฏิบัติรวมได้ที่หนึ่งร่วมกับเพื่อนชาวนิวซีแลนด์

มาเรียนขับรถที่ไคโร

ขั้นตอนการรับสมัคร
มาอยู้เมืองหลวง 2 สัปดาห์ เรียนขับรถ

จากนั้นบ.เอาผมไปเข้าหลักสูตร defensive driving course 1 เดือนที่ ไคโร (เมืองหลวงของอียิปต์) หัดขับรถอย่างถูกต้อง และ ปลออดภัยในหลายๆสภาพถนน และ แบบไม่มีถนน คือ ขับในทะเลทรายโดยใช้เข็มทิศน่ะครับ

รวมไปถึงการเอาตัวรอดยามฉุกเฉินยามรถเสียกลางทะเลทราย การของความช่วยเหลือแบบต่างๆ ฯลฯ มีสอบด้วยนะครับ แต่คราวนี้ผมขับได้ห่วยขั้นเทพ ได้ที่โหล่เลย อิอิ แต่ก็ผ่าน

จบขับรถ 1 เดือน ก็ไปเข้า post school ที่เดิมคือบอมเบย์ ซึ่งก็จะเป็นที่ที่บ.จะให้ผมทำงานจริงที่นั่น

Post school ที่บอมเบย์

post school ก็คือทำงานภายให้ความดูแลของวิศวกรอาวุโสคนหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน แล้วจึง break out แปลว่า พอครบ 1 เดือนก็จะให้สอบของจริง คือไปทำงานจริงๆ เริ่มตั้งแต่เตรียมงาน (ทั้ง คน เครื่องมือ ลูกน้อง ลูกค้า logistic ฯลฯ) ทำงาน เก็บซ่อมของกลับที่เดิม ฯลฯ

มีคนให้คะแนนทุกขั้นตอน อ้อ ลืมบอกไป ตั้งแต่เริ่ม ตำแหน่งจะเป็น JFE – Junior Field Engineer แต่ถ้าผ่าน break out ก็จะเลื่อนเป็น FE – Field Engineer

ทำงานไปเรื่อยๆ มีการฝึกอบรมและศึกษาเพิ่มเติมตลอด มีหลักสูตรบังคับให้เรียนนอกเวลางาน มีทำวิจัยส่ง มีการนำเสนองานวิจัย ผ่านหมดแล้วจึงเลื่อนเป็น SFE – Senior Field Engineer แล้วก็ GFE – General Field Engineer ตามลำดับ

GFE เป็นตำแหน่งสูงสุดในสนามของวิศวกร SLB แล้วครับ (ในตอนนั้น) สูงจากนี้ก็จะเข้าฝั่งเข้าสนง.ทำงานบริหารไปตามลำดับขั้น ผมใช้เวลา 5 ปี ปีนขั้นบันไดจนถึง GFE อยู่ต่ออีกสักพัก เป็น FSM – Field Service Manager (ผจก.สนามระดับล่างสุดๆของบ.) ก็โบกมือลา

ชีวิต

ที่นี่สอนและให้อะไรผมมากมายครับ ทั้งในด้านไม่ดีก็เยอะ และ ด้านดีก็มาก จึงเป็นอะไรที่ทั้งรักทั้งเกลียดหรือที่สำนวนฝรั่งว่า bitter sweet (หวานแบบขมๆ)

ด้านเลวๆ และ ความเจ็บปวดผมก็พยายามลืมๆมันไป แต่ที่ดีก็จะขอเอ่ยถึงสักหน่อย

นอกเหนือจากความรู้ความสามารถ ความเชื่อถือ และ วิชาชีพที่ใช้ทำมาหากิน ที่ผมได้จากที่นี่แน่ๆ อย่างแรกคือ ที่นี่เป็นตักศิลาในด้านนี้ของวงการฯทีเดียวเลยครับ ระบบคัดเลือก ฝึกอบรม และ เลื่อนตำแหน่ง (recruit – train-promote) เป็นไปอย่างมีระบบแบบแผน เข้มข้น และ เชื่อถือได้ ถ้าผ่านมาได้ก็เหมือนได้ปริญญาที่เป็นที่ยอมรับของบ.ต่างๆในวงการฯกลายๆ

ที่นี่สอนให้ผมรู้จักอดทนอดกลั้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ สอนให้หน้าด้าน สอนให้ต่อสู้เรียกร้องในสิทธิ์ที่ควารมีควรได้ The more you ask the more you get ไม่มีใครเอาอะไรมาให้ถ้าเรานั่งเฉยๆ ต้องดูแลและรักษาสิทธิ์ตัวเอง ไม่มีคำว่าถูกหวย ไม่มีราชรถมาเสย เอ๊ย มาเกย ปากกัดตีนถีบตลอดครับ

แล้วก็ยังมีเรื่องระบบความปลอดภัย (safety) ที่ที่นี่ไม่เป็นสองรองใครในวงการฯ สรุปสั้นๆคือทำให้ผมมีความเป็นมืออาชีพ ผมเรียกตัวเองว่ามืออาชีพ(professional)ได้เต็มปากก็เพราะที่นี่ครับ

ส่วนเรื่องที่ไม่ดี ความเจ็บปวด และ บาดแผลที่ที่นี่ให้ไว้กับผม ก็มีไม่น้อย ผมก็ละไว้ไม่กล่าวถึงก็แล้วกันครับ อย่างสำนวนฝรั่งว่าไว้ no pain no gain หรือ no free lunch คิดซะว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่ผมต้องจ่ายเพื่อความเป็นมืออาชีพก็แล้วกัน

ก่อนจะจบต้องบอกก่อนนะครับว่า ที่เล่าขบวนการคัดสรรมานี่เป็นขบวนการเก่าตั้ง 29 ปีมาแล้ว (วันที่เขียนบทความนี้ เมษา 2018, ปรับปรุงแก้ไข พ.ค. 2019)

กาลเวลาผ่านไป เงื่อนไขทางธุรกิจเปลี่ยนไป ขบวนการคัดสรรก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย สมัยนี้จึงต่างกับสมัยผมค่อนข้างมากอยู่ เช่น group activity สมัยผมก็ไม่มี และ HR เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เป็นต้น

ถ้าจะเล่าเรื่องราวดีๆชั่วๆทั้ง 6 ปีในสนามนั่น ก็คงหมดเหล้าหลายขวดเบียร์หลายโหลกับน้องหนูช่วยรินเบียร์รินเหล้าอีกหลายคน (ฮ่า) และ ก็ไม่ได้อยู่ในหัวข้อที่จั่วเอาไว้ว่าเป็นประสบการณ์การสัมภาษณ์และขั้นตอนคัดสรร

… วันนี้ก็จบ ขั้นตอนการรับสมัคร มันดื้อๆแบบนี้แหละครับ …

ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ

(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)

https://raka.is/r/qlzXR https://raka.is/r/gP7GV

--- มีคำถามเพิ่มเติม พูดคุย เม้าส์มอย ไปต่อกันได้ที่กระดานสนทนา (webboard) นะครับ

คลิ๊กเลย

One comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

The Sweet Girl

ของมือสองของเฟิร์นค่ะ มีหลายชิ้นเลย ราคาดีสุดๆ (คลิ๊กที่รูปนะคะ ลิงค์จะพาไปที่ร้านค่ะ)

Fern shop

--------- คลิ๊ก - The Sweet Girl ----------