การลดการปล่อยก๊าซมีเทน จากภาคการผลิตน้ำมันและก๊าซของโลก – ได้บทความดีๆเกี่ยวกับการดูแลสิ่งแวดล้อมของโลกอันเนื่องมาจากอุตสาหกรรมของเรา เอามาแบ่งปันครับ
การลดการปล่อยก๊าซมีเทน
ในช่วงต้นปี 2016 สมาคมคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ(EPA) ได้ออกข้อกำหนด QuadOa ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดระดับก๊าซเรือนกระจก (GHG) ที่ปล่อยออกมาสู่บรรยากาศโดยอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในต้นปี พ. ศ. 2017
การดำเนินการตามระเบียบเหล่านี้ไม่ค่อยชัดเจนนักอย่างไรก็ตามความชัดเจนบางอย่างยังคงอยู่ ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นได้ชื่อว่าเป็นเชื้อเพลิง “สะอาด” เพราะเผาไหม้จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงครึ่งเดียวและเกิดเขม่า ก๊าซกำมะถัน และอนุภาคอื่น ๆในระดับที่น้อยกว่าการเผาไหม้ของถ่านหิน แต่สิ่งที่ถูกละเลยก็คือปัญหาจากปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 80 เท่า ในระยะเวลา 20 ปีแรกหลังจากที่มันถูกปล่อยออกมา
ในเดือนเมษายน 2015 รายงานการวิเคราะห์โดยกลุ่มโรเดียม (Rodium Group) ร่วมกับ EDF (Environmental Defense Fund) แสดงให้เห็นว่า:
ถ้าจะซื้อของใน shopee อยู่แล้ว เข้าทางนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯ ถือว่าช่วยผมจ่ายค่าเช่า host server ไม่ใช่คลิ๊กดูดเงินแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล
- ผลที่เกิดจากการปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยใช้การคำนวณ ค่า 20-year GWP ของมีเทน ได้ผลกระทบสภาพบรรยากาศระยะสั้น เทียบเท่ากับกับผลจากการปล่อยก๊าซ CO2 40% จากการเผาไหม้ถ่านหินทั่วโลก ในปี 2012
- หนึ่งในผู้ที่ปล่อยก๊าซมีเทนรายใหญ่ที่สุด ได้แก่ ภาคการผลิตน้ำมันและก๊าซทั่วโลกที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในปี 2012 ประมาณ 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
ปริมาณก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศทั่วโลกเกือบจะเท่ากับการผลิตทั้งหมดจากประเทศนอร์เวย์ ในปี 2012 และเมื่อวัดทั่วโลกแล้วปริมาณ ก๊าซธรรมชาติ “สูญหาย” ทั้งหมด จะเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากผู้ผลิตรายใหญ่ลำดับที่ 7 ของโลก ก๊าซที่สูญเสียไปนี้เทียบเท่ากับการสูญเสียรายได้ประมาณ 30 พันล้านเหรียญ (โดยใช้ราคาที่ส่งมอบเฉลี่ยในปี 2012 )
ด้วยก๊าซจากชั้นหิน (Shale Gas) ที่เปลี่ยนแปลงตลาดการซื้อขายพลังงานในอเมริกันและการใช้ก๊าซธรรมชาติก็ได้รับการส่งเสริมให้เป็นพลังงานในอนาคตที่ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ มันเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญแต่ก็ไม่ควรที่จะใช้อย่างสิ้นเปลือง จนกว่าการปล่อยก๊าซมีเทนจะได้รับการตรวจวัด เฝ้าระวัง ควบคุมและลดการใช้ ก๊าซธรรมชาติเป็นตัวแทนของพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ที่จะนำมาใช้ทดแทนถ่านหินและน้ำมัน แต่ก็ยังมีคำถามที่สำคัญ
การตอบสนองจากภาคอุตสาหกรรม
จากข้อมูลที่ได้ในรายงานของกลุ่มโรเดียม การพัฒนาแนวทางที่เป็นระบบเพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนเป็นสิ่งที่น่าสนใจของผู้ดำเนินกิจการด้านน้ำมันและก๊าซทั้งในมุมมองด้านความปลอดภัยและต้นทุน นอกจากนี้ลูกค้า กลุ่มผู้ถือหุ้น และชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ ที่ดำเนินกิจการ ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย แม้การดำเนินการนี้จะไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยข้อบังคับ
-------------------------------------------------------
ไม่พลาด ข่าวสาร บทความ ความรู้ ประกาศตำแหน่งงานว่าง และ อื่นๆ
กรอก ชื่อ และ อีเมล์ ในแบบฟอร์มข้างล่าง จะมีอีเมล์กลับมาให้ "ยืนยัน" นะครับ การสมัครจึงจะสมบูรณ์ ... อ้อ ... อย่าลืมดูใน junk, trash, spam box นะครับ บางทีระบบมันเอาอีเมล์ตอบกลับไปไว้ที่นั่น
หลังจากที่ EPA ได้ออกกฎ QuadOa ประเทศในกลุ่มนอร์ดิค ของยุโรปก็ได้ให้พันธะสัญญาที่จะพัฒนาเป้าหมายในระดับโลกที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทน
ประเทศเม็กซิโก และ แคนาดา ก็ให้คำมั่นสัญญาเช่นกันที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนลง 45% ในขณะที่บริษัทหลายๆแห่งเช่น BP, Engie, ENI, Repsol, Saidi Aramco, Statoil, Total ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการเฝ้าระวังติดตามการปล่อยก๊าซและได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง กฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนก็มีความเข้มแข็งในแต่ละรัฐ เช่น แคลิฟอเนีย โดโลรโด วอมมิ่ง ยิ่งกว่าของรัฐบาลกลาง
สำหรับเหตุผลในด้านความปลอดภัยสาธารณะ การป้องกันสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพในการทำงาน ความเห็นเป็นเอกฉันท์ของภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ก็คือจะต้องมีการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนที่ดีขึ้น ซึ่งจะหมายรวมถึงการปล่อยก๊าซทั้งที่วางแผนและไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเช่นกรณีที่เกิดจากการรั่วของก๊าซ ซึ่งต้องดำเนินการในทั้ง 3 ข้อได้แก่
ชุดสุดท้าย
ข้อแรกจะต้องสร้างหรือดัดแปลงระบบในลักษณะที่มีการปล่อยก๊าซที่น้อยลงและป้องกันการสูญเสีย ในขณะที่การเผาไหม้ก๊าซส่วนเกินเป็นมาตรการพื้นฐาน ซึ่งตอนนี้เราก็ได้เริ่มเห็นโรงงานใหม่ๆ หรือโรงงานที่ปรับปรุงโดยมีระบบ Vapor Recovery ที่มีการนำก๊าซส่วนเกินมาใช้กับปั๊มและวาล์ว
ข้อที่สองก็คือการทำให้มั่นใจว่าระบบใหม่จะถูกออกแบบให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดผลเสียรุนแรง เช่น กรณีก๊าซมีเทนขนาด 100,000 ตันรั่วจากระบบก๊าซธรรมชาติที่ Alison Canyon, Los Angeles ในปี 2015
ข้อที่สามก็คือการจัดการด้านการซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับในกระบวนการผลิตที่ประกอบด้วย ข้อต่อ ซีล ช่องระบายต่างๆ ที่อาจจะเกิดการรั่วของก๊าซที่มองไม่เห็น ระบบการตรวจหาการรั่วและการซ่อม (LDAR : Leak Detection and Repair System) จะต้องสามารถที่จะระบุปัญหาได้ในระยะเริ่มต้นและช่วยในในด้านการป้องกันบรรเทาปัญหาในสภาพแวดล้อมที่อันตราย
กรณีของ Alison Canyon เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าศึกษาซึ่งจริงๆแล้วพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากความผิดปรกติของวาล์วด้านหนึ่งของแท้งก์จัดเก็บ ซึ่งหากตรวจพบแต่แรกก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยเพียงประแจธรรมดาเท่านั้น
ตัวช่วยสำหรับการทำ LDAR
ในขณะที่สองข้อแรกของการทำ LDAR นั้นจะหมายถึงการลงทุนในระยะยาวและการออกแบบระบบ ข้อที่ 3 นั้นจะเป็นข้อที่เร็วกว่าและง่ายกว่ามากในการทำ ส่วนใหญ่ของข้อกำหนดในปัจจุบันเกี่ยวกับการตรวจจับการรั่วและการปล่อยก๊าซนั้นจะเป็นไปตามวิธีการของ Method 21 ซึ่งผู้ปฏิบัติงานจะต้องใช้เครื่องวัดก๊าซที่ใช้เซนเซอร์ในการตรวจจับก๊าซรั่ว (Sniffer) ที่ใช้หลักการทางฟิสิกส์และปฏิกริยาเคมีเพื่อที่จะระบุว่ามีก๊าซรั่วหรือไม่
เครื่องตรวจจับก๊าซรั่วจะใช้ได้ดีในการทำงานแบบ routine ที่ทราบพื้นที่ที่น่าจะเกิดปัญหา แต่เครื่องตรวจจับก๊าซจะไม่สามารถที่จะระบุจุดที่เป็นตำแหน่งที่เกิดการรั่วได้ง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจุดที่รั่วเป็นจุดที่คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตามในปี 2008 ผู้ปฏิบัติงานก็ได้เริ่มที่จะใช้เทคโนโลยีของกล้องถ่ายภาพก๊าซ (OGI ; Optical Gas Imaging) ในการทำงานด้านการบำรุงรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อันตราย (Hazardous Location) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้งานกล้องถ่ายภาพอินฟราเรดแบบเคลื่อนที่ได้ (Portable OGI device) ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถระบุการเกิดการมีก๊าซรั่วอยู่ในบริเวณโดยคุณสมบัติการดูดกลืนพลังานของคลื่นรังสีอินฟราเรด ซึ่งจะมองเห็นได้เป็นกลุ่มก๊าซมีเทนที่รั่วอยู่และค้นหาจุดที่เกิดการรั่วได้ด้วย แม้ความเข้มข้นของก๊าซจะอยู่ในระดับต่ำ
การใช้วิธีการของ OGI (Optical Gas Imaging) ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นวิธีการที่สามารถตรวจจับก๊าซได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการอื่นที่ใช้เวลาและแรงงานในการทำงาน OGI ยังสามารถนำมาใช้ในการตรวจสอบระบบหลังจากที่มีการแก้ไขปัญหาแล้วได้อีกด้วย
OGI เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งทำให้ประเทศเนเธอร์แลนด์ บรรจุเทคนิคของ OGI ไว้ในมาตรฐานของการทำงานในการตรวจจับการรั่วและการซ่อมบำรุง และต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของกลุ่มประเทศในยุโรปที่เหลือ
ประเทศไต้หวันก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ข้อกำหนดต้นแบบจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องใช้ Method 21 แต่ก็ได้รวมเทคนิค OGI ไว้ด้วย นอกจากนี้ประเทศจีนและแคนาดา ก็ได้เริ่มที่จะใช้ข้อกำหนดคล้ายๆกัน สำหรับการใช้เทคนิค OGI
บทความโดย เทคโนโซกู๊ด
email: khunsopon@gmail.com
ข้อมูลอ้างอิง
1) The Global Oil and Gas Methane Emission Debate – The OGI Angle by Opgal/Israel
2) Reducing Global Methane Emissions from Oil and Natural Gas Systems by Kate Larsen, Michael Delgado and Peter Marsters April 2015
http://rhg.com/wp-content/uploads/2015/04/RHG_UntappedPotential_April2015.pdf
ถ้าจะซื้อของออนไลน์จาก 2 เจ้านี้อยู่แล้ว คลิ๊กลิงค์ หรือ โลโก้ ข้างล่างนี้เลยครับ ผมจะได้ค่าคอมฯเล็กๆน้อยๆสมทบทุนจ่ายค่าเช่า host server ขอบคุณครับ
(ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่ใช่ลิงค์ดูดเงินแน่ๆ)
https://raka.is/r/qlzXR | https://raka.is/r/gP7GV |